วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 ในห้องเรียน

Learning log 3 ในห้องเรียน

                ถ้าเราเป็นคนไทย ใช้ภาษาไทยมาตั้งแต่เกิด เราต้องเคยมีปัญหาในการใช้ Tense อย่างแน่นอนเพราะภาษาไทยไม่มีการผันกริยาไปตามกาลเวลาเหมือนภาษอังกฤษ เช่น เมื่อวานนี้ฉันไปกินข้าวกับเจ้านายมา วันพรุ่งนี้ฉันก็จะไปกินข้าวกับเจ้านานเหมือนเดิม ซึ่งในภาษาไทยไม่ว่าเราจะ กิน ในอดีตปัจจุบันหรืออนาคต เราก็ยังคงใช้คำว่า กิน แต่ในภาษาอังกฤษจะมีกริยา 3 ช่อง ให้เราเลือกว่าจะใช้ eat ,ate หรือ eaten ซึ่งมันจะทำให้เราสับสนได้หากเราไม่แม่นกริยาสามช่องและหลักการของ Tense พอ การเรียนรู้ในห้องเรียนสัปดาห์นี้เราจะพูดถึงเรื่อง Tense เชื่องโยงกับเรื่องของภาษาศาสตร์(Linguistic) นอกจากนี้ยังมีการ Teach Less Learn More ซึ่งแปลได้ตรงตัว คือ สอนให้น้อย เรียนรู้ให้มากขึ้น และการใช้ Blended Learning การเรียนแบบผสมผสานมาใช้ในการเรียนการสอน
                เรื่องแรกจะเป็นการพูดทบทวนความรู้เดิมเรื่อง Tense ซึ่ง Tense ก็คือรูปแบบของคำกริยาที่แสดงให้ทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หากพูดถึงเรื่อง Tense จะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราใช้ Tense ไม่ถูกเราก็จะสื่อภาษากับบุคคลอื่นไม่ได้ ในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจอยู่ในรูปของ Tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่จะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วย แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป Tense เป็นตัวบอก ดังนั้นการศึกษาเรื่อง Tenseในภาษาอังกฤษจึงมีความจำเป็น Tense จะแบ่งออกเป็น 3 Tense ใหญ่ๆ คือ Present Tense (ปัจจุบัน) Past Tense (อดีตกาล) และ Future (อนาคตกาล) โดยแต่ละ Tense ยังสามารถแยกย่อยได้อีก 4 Tense คือ Simple Tense ธรรมดา (ง่ายๆไม่ซับซ้อน) Continuous Tense กำลังกระทำอยู่ (กำลังเกิดอยู่) Perfect Tense สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว) และ Perfect Continuous Tense สมบูรณ์กำลังกระทำ (ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย)
                โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 Tense มีดังนี้ Present Tense ประกอบด้วย Present Simple Tense (S+V1) พูดถึงกาลปัจจุบันและการกระทำที่เป็นกิจวัตรประจำวันหรือสิ่งที่เป็นความจริง เช่น I live in Laos. Present Continuous Tense (S+is,am,are+Ving) ใช้เมื่อการกระทำนั้นกำลังดำเนินอยู่ เช่น I’m going to Bangkok on Sunday. Present Perfect Tense (S+have,has+V3) ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแลดำเนินเรื่อยมาจบในปัจจุบัน เมื่อพูดจบ เช่น He has lived in china for 3 years. Present Perfect Continuous Tense (S+have,has+been+Ving) ใช้เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินเรื่อยมาจนถึงแจจุบันแต่ยังไม่จบ เพรายังคงต่อเนื่องไปถึงอนาคต เช่น I have been working for 3 hours. ต่อไปจะเป็นการกล่าวถึงอดีตกาล Past Tense ประกอบด้วย Past Simple Tense (S+V2) ใช้กับการกระทำที่ผ่านไปแล้วมักจะมีคำบ่งบอกอดีตกาล(yesterday, 5 minutes ago, last) เช่น I bought a phone last week. Past Continuous Tense (S+ was, were+V1) ใช้ตอนมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อนซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในอดีตแล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นซ้อนกันในระยะเวลาสั้นๆ เช่น somebody farted when I was doing my exam. Past Perfect Tense (S+had+v3) ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เหตุการณ์แรกเกิดก่อนและจบลงใช้ Past Perfect Tense อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น I had cleaned my room before my friends arrived. Past Perfect Continuous Tense ใช้ได้ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เช่น before I went to sleep, I had been swimming for an hour.
                อันดับสุดท้ายก็คือ Future Tense ประกอบด้วย Future Simple Tense (S+will,shall+V1) ใช้กับการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น I will watch a movie tomorrow night. Future Continuous Tense (S+will,shall+be+Ving) ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น When you call, I will be sleeping. Future Perfect Tense (S+will, shall+have+V3) ใช้เมื่อต้องการจบอกว่า เหตุการณ์หนึ่งได้จบสิ้นลง เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เช่น The skytrain will have left before you get to the platform. Future Perfect continuous Tense (S+will,shall+have+been+Ving)ใช้เมื่อต้องการจบอกว่า ณ เวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์หนึ่งซึ่งดำเนินมาก่อนนั้นยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก เช่น By next year I will have been teaching English for 5 years.
                จากนี้ Teach Less Learn More คือ การสอนแบบสอนน้อยแต่เรียนรู้มาก ซึ่งการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดนี้ ผู้สอนต้องสอนให้น้อยลงหรือ Teach Less โดยการเลือกวิธีสอนตามความสามารถของผู้เรียน มีการจัดการเรียนรู้หลากหลายวิธีแต่ต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งผู้สอนจะต้องมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการวางแผนและออกแบบเตรียมสื่อแลแหล่งเรียนรู้และจะต้องเตรียมคำถามที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากขึ้น หรือ Learn Moreโดยใช้การออกแบบย้อนกลับ(Backward Design) 3 ขั้นตอน คือกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การกำหนดหลักฐานการเรียนรู้ และการวางแผนการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบ Teach Less Learn More จะทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น มีความสนใจในเนื้อหา กล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็นได้ดีขึ้นผู้เรียนได้รู้จักแก้ปัญหาและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
                เรื่องสุดท้ายจะเป็นการใช้ Blended Learning ในการเรียนการสอน ซึ่งก็คือ การเรียนการสอนแบบผสมผสาน เป็นการผสมผสานรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนผสมผสานกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือการใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่หลากหลาย ซึ่งเป้าหมายก็คือการให้ผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้เป็นสำคัญ เช่น การเรียนการสอนในชั้นเรียนร่วมกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เป็นต้น โดยผู้เรียนจะต้องไปค้นคว้าสืบค้นข้อมูลและนำมาอภิปรายสรุปเนื้อหาเป็นแนวเดียวกัน ผู้เรียนทุกคนจะเข้าใจตรงกัน

                ทุกเรื่องที่เรียนมาในวันนี้ทำให้เราได้ทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่อง Tense เพราะ Tense ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของไวยากรณ์ ถ้าเราใช้ Tense ไม่ถูกเราก็จะสื่อภาษากับบุคคลอื่นไม่ได้ นอกจากนี้เราต้องทำความเข้าใจกับโครงสร้างของ Tense ด้วยจึงจะเกิดความเข้าใจแลสามารถนำไปใช้ในแต่ละเหตุการณ์ได้ถูกต้องและนอกจากเรื่อง Tense แล้วยังทำให้เราได้รู้จักกับแนวคิด Teach Less Learn More เพิ่มมากขึ้น คือเป็นการต้องการให้ผู้สอนลดบทบาทในการสอนของตนเองให้น้อยลงแลส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น สนับสนุนให้ผู้เรียนสร้างความรู้แลแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง และสุดท้ายก็คือการนำ Blended Learning มาใช้ในการเรียนการสอนซึ่งเป็นการผสมผสานการเรียนรู้ในห้องเรียนและแบบออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าสืบค้นข้อมูลจากเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น