วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The wizard of OZ พ่อมดแห่งเมืองออซ

The wizard of OZ 

พ่อมดแห่งเมืองออซ

ตอนที่ 3 เมืองมรกต
"พวกเราต้องการเจอเขา" โดโรธีพูด "ได้โปรดบอกเขา" "เอาล่ะ" ผู้ชายคนนั้นพูด "ฉันสามารถพาเธอไปหาเขาได้ แต่อันดับแรกพวกเธอต้องสวมแว่นก่อน" เขาเปิดกล่องใบใหญ่ ในกล่องเต็มไปด้วยแว่นจำนวนมาก "พวกเธอจะต้องใส่แว่นตลอกเวลา" เขาพูด "ทุกๆคนในเมืองนี้จะต้องใส่แว่น" พ่อมดว่าไว้อย่างนั้น ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจึงสวมแว่น ผู้ชายใส่ชุดสีเขียวก็สวมแว่นเช่นกัน จากนั้นก็นำพาพวกเขาผ่านเข้าไปยังเมืองมรกต ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้เป็นสีเขียว ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิง ผู้ชาย บ้าน ร้านค้า หรือแม้แต่ถนน ผู้ชายใส่ชุดสีเขียวพาพวกเขาไปยังบ้านหลังใหญ่ และพวกเขาก็เดินเข้าไปในห้องสีเขียว "ยืนรอฉันอยู่ที่นี่ก่อน" ผู้ชายตัวเขียวพูด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมา "คุณเห็นพ่อมดไหม" ผู้ชายใส่ชุดเขียวถาม "แต่พวกเธอจะต้องเข้าไปหาเขาทีละคน" จากนั้นเขาก็เดินไป และเด็กผู้หญิงใส่ชุดเขียวก็เดินเข้ามา หล่อนพาโดโรธีเข้าไปในประตูสีเขียว "พ่อมดอยู่ที่นี่" เด็กผู้หญิงใส่ชุดเขียวพูด "เขากำลังรอเธออยู่" โดโรธีเดินเข้าไปข้างใน บนเก้าอี้สีเขียวมีหัวที่ใหญ่มาก ไม่มีลำตัว ไม่มีแขน และไม่มีขา มีแต่หัวอย่างเดียว ปากของมันเปิดและพูดว่า "ฉันคือออซ เธอเป็นใครและเธอต้องการอะไร" "ฉันชื่อโดโรธี" หล่อนพูดอย่างกล้าหาญ "เธอได้รองเท้าสีแดงนั้นจากทีไหน" "จากแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันออก" โดโรธีพูด "บ้านของฉันตกทับจนหล่อนตาย" " มีอะไรบางอย่างอยู่บนใบหน้าของเธอ?" "รอยจูบสิ แม่มดใจดีทิศเหนือจูบแก้มฉัน" โดโรธีพูด "ฉันต้องการความช่วยเหลือเธอต้องการอะไรอีก?" " ฉันต้องการจะกลับบ้านที่แคนซัส" โดโรธีตอบ "แต่ฉันไม่รู้จะไปทางไหน ได้โปรดช่วยให้ฉันได้กลับบ้านเถอะ" "ดวงตาอันกลมโตก็เปิดๆปิด จากนั้นปากก็เปิดและพูดได้อีกครั้ง "เยี่ยม บางทีฉันอาจจะช่วยเธอได้ แต่อันดับแรกเธอจะต้องทำอะไรบางอย่างให้ฉัน" "ต้องการให้ฉันช่วยอะไรเธอละ?" โดโรธีถาม "ฆ่าแม่มดชั่วร้ายทิศตะวันตก" " แต่ฉันไม่ต้องการที่จะฆ่าใครทั้งนั้น" โดโรธีพูด "เธอฆ่าพี่สาวของมันได้ และเธอก็ใส่รองเท้าวิเศษ ไปฆ่าแม่มดชั้วร้ายทิศตะวันตกเดี๋ยวนี้" โดโรธีเริ่มจะร้องไห้ "และฉันจะฆ่าแม่มดได้อย่างไร" หล่อนพูด ดวงตาอันกลมโตก็เปิดขึ้นและมองดูที่หล่อน แต่เขาไม่ตอบ โดโรธีเดินออกไป และหลังจากนั้นหุ่นไลก่า หุ่นแหล็ก และสิงโต ก็เดินเข้าไปยังห้องของพ่อมด ต่อมา พวกเขาทั้งหมดก็พบกันในห้องเสียงเขียวและพูดคุยกัน โดโรธีก็ถามเพื่อนๆของเขาเกียวกับหัวอันนั้น "มันน่าสนใจมาก " หุ่นไล่กาพูด "ฉันไม่เห็นหัวนั้นนะ
ฉันเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง ฉันถามหล่อนเรื่องสมอง หล่อนพูด " ได้ แต่อันดับแรกเธอต้องช่วยโดโรธีฆ่าแม่มดทิศตะวันตกเสียก่อน" "ฉันเห็นสัตว์ตัวใหญ่สองหัว" หุ่นเหล็กพูด "ฉันถามเรื่องหัวใจ สัตว์ตัวนั้นก็พูดว่า "ฉันสามารถให้หัวใจเธอได้ แต่อันดับแรกเธอต้องช่วยโดโรธีฆ่าแม่มดทิศตะวันกเสียก่อน" "เธอเห็นอะไรละสิงโต?" "ฉันเห็นไฟกลมๆ" สิงโตผู้ขี้ขลาดพูด จากนั้นฉันก็พูดว่า "ฉันคือสิงโต ช่วยให้ฉันมีความกล้าหาญได้ไหม" ไฟกลมๆพูด "เมื่อแม่มดทิศตะวันตกตาย ฉันจะช่วยเธอ" สิงโตเริ่มโมโห แต่ไฟกลมๆก็เริ่มใหญ่ขึ้นๆ สิงโตจึงวิ่งหนีไป "โอ้ แล้วพวกเราจะทำยังไง? " โดโรธีพูด "เยี่ยม" หุ่นไล่กาพูด "พวกเราจะต้องตามหาแม่มดทิศตะวันตก และพวกเราจะต้องฆ่าหล่อน"

ตอนที่ 4 แม่มดและลิง
เช้าวันต่อมา พวกเขาออกจากเมืองมรกต ผู้ชายตัวสีเขียวถอดแว่นของพวกเขาออกและบอกหนทางที่จะไปยังบ้านแม่มด "ทุกคนกลัวแม่มดทิศตะวันตก" เขาพูด "ระวังตัวด้วยนะ" พวกเขาเดินทางเป็นเวลายาวนาน ถนนหนทางเริ่มน่ากลัว แถวนี้ไม่มีบ้าน ไม่มีทุ่งหญ้า และไม่มีต้นไม้ ตอนนี้ แม่มดทิศตะวันตกมีตาวิเศษ และสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง หล่อนเห็นพวกเขาเดินอยู่บนถนน จึงโกรธมาก หล่อนวางหมวกสีดำและร่ายมนต์เรียกพวกลิง ลิงสองตัวเดินทางมาที่บ้านของหล่อน "ท่านต้องการอะไร?" ลิงถาม "มีผู้หญิง หุ่นไล่กา หุ่นเหล็ก สุนัขและสิงโตอยู่บนถนน" หล่อนพูด "ฆ่าพวกมันให้หมด ยกเว้นสิงโต นำมันมาให้ฉันที่บ้าน มันสามารถทำงานให้ฉันได้"
"ได้เลย" ลิงพูด และบินออกไป พวกมันหักขาและแขนของหุ่นเหล็ก และดึงฟางข้าวออกจากตัวหุ่นไล่กา และเหวี่ยงเสื้อผ้าขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นพวกมันก็จับเจ้าสิงโตไปไว้ในห้องมืดใต้ดินที่บ้านของแม่มด แต่พวกมันไม่สามารถทำร้ายโดโรธีและโตโต้ได้ เพราะรอยจูบของแม่มดใจดี ลิงพวกนั้นจึงยกพวกเขาขึ้นอย่างระมัดระวังและพาไปยังบ้านของแม่มด
แม่มดเห็นรอยจูบบนหน้าของโดโรธี และรู้สึกกลัว แต่หล่อนก็ไม่ถามโดโรธีเกี่ยวกับรอยจูบนั้น "เธอจะต้องทำงานอยู่ในบ้านของฉัน" แม่มดพูดกับโดโรธี "ทำทั้งวันและทำทุกวัน และจำเอาไว้ว่าฉันดูเธออยู่ทุกเวลา" โดโรธีไม่รู้ แต่รองเท้าสีแดงได้สำแดงฤทธิ์ แม่มดจึงต้องการรองเท้าคู่สีแดงนั้นมาก แต่โดโรธีไม่เคยถอดมันเลย หล่อนจะถอดเมื่อทำความสะอาด แต่แม่มดไม่เคยเข้าใกล้น้ำ หล่อนกลัวน้ำมากๆ เช้าวันหนึ่ง รองเท้าข้างซ้ายของโดโรธีหล่น แม่มดเก็บร้องเท้าข้างนั้นไว้ "นี่คือร้องเท้าของฉัน" แม่มดพูดดังขึ้น "มันไม่ใช่รองเท้าของเธอ โดโรธีพูดขึ้นด้วยความโมโห "ส่งรองเท้าข้างนั้นมาให้ฉันนะ" "ไม่" แม่มดพูด และหนังจากนั้นหล่อนก็พยายามที่จะเอารองเท้าอีกข้างของโดโรธี
โดโรธีรักรองเท้าของหล่อน หล่อนโมโหมาก ที่นั้นมีตะกร้าใส่น้ำวางใกล้ๆกับประตู หล่อนจึงหยิบตะกร้าขึ้นและสาดน้ำในตะกร้าไปที่แม่มด น้ำสาดไปที่ใบหน้าของหล่อน หล่อนจึงร้องขอความช่วยเหลือ น้ำกำลังจะฆ่าฉัน... จากนั้นแม่มดก็หมายตัวไปเหลือไว้แค่หมวกและชุดคลุมสีดำ โดโรธีมองดูหลายครั้ง แม่มดไม่ได้อยู่ที่นี่ หล่อนจึงหยิบรองเท้าสีแดงมาสวม "ฉันสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆของฉันได้อย่างไร?" หล่อนพูด "ฉันสามารถเรียกลิงพวกนั้นได้ไหม" หล่อนหยิบหมวกของแม่มดขึ้นมาและและมองดู "บางทีฉันคงต้องสวมหมวกวิเศษใบนี้ เวลาฉันพูด" ดังนั้นหล่อนจึงสวมหมวกและเรียกพวกลิงมาหาหล่อน พวกลิงมาถึง "ได้โปรด เธอสามารถช่วยเพื่อนฉันได้ไหม" "ได้สิ" ลิงพูด "พวกเราต้องช่วยเหลือชุดและหมวกวิเศษ พวกลิงทำลายประตูในห้องมืดใต้ดิน และสิงโตผู้ขี้ขลาดก็ออกมาได้ "ในที่สุดฉันก็เป็นอิสระ" สิงโตพูด "ขอบคุณมาก"
จากนั้นพวกลิงก็ค้นพบเสื้อผ้าของหุ่นไล่กาและมัดฟางข้าวให้กับหุ่นไล่กาใหม่ หุ่นไล่กาหัวเราะ และกระโดด "ขอบคุณ" เขาพูด ลิงอีกตัวซ่อมแซมหุ่นเหล็กและใส่กระป๋องน้ำมันให้ใหม่ หุ่นเหล็กสามารถเคลื่อนย้ายแขนและขาได้ "ฉันรู้สึกวิเศษ" เขาพูด "ขอบคุณมาก" โดโรธีบอกเพื่อนๆของเธอเกี่ยวกับแม่มดและน้ำ พวกเขาทั้งหมดมีความสุขมาก โตโต้ไม่สามารถพูดได้ แต่มันกระโดดขึ้นลงๆอย่างมีความสุข "ตอนนี้" โดโรธีพูด "พวกเราจะต้องกลับไปหาพ่อมดแห่งออซ พวกลิงวิเศษ ได้พาพวกไปยังเมืองมรกต "อย่าลืมหมวกวิเศษนะ" หุ่นเหล็กพูด บรรดาลิงพาบวกเขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า สิบนาทีต่อมา พวกเขาก็อยู่ที่ประตูสีเขียวบานใหญ่ในเมืองมรกตอีกครั้ง

ตอนที่ 5 ชายแก่จากแคนซัส
ผู้ชายตัวสีเขียวเปิดประตู เขาให้พวกเราทั้งหมวดสวมแว่น จากนั้นก็พาพวกเราผ่านเมืองไปยังบ้านของพ่อมด ที่นี้ในห้องสีเขียว พวกเรารอ รอ และก็รอ หลังจากสามชั่วโมงผ่านไป หุ่นไล่กาพูด "ฉันรอจนเหนื่อยแล้ว" เขาเรียกผู้ชายตัวเขียว "พวกเราต้องการพบพ่อมดเดี่ยวนี้" "พวกเธอสามารถมาและเห็นฉันได้เวลา9โมงเช้าของวันพรุ่งนี้" เวลา9โมงเช้า ผู้ชายตัวเขียวพาพวกเราไปยังห้องของพ่อมด พวกเขาเข้าไปด้านในและมองไปรอบๆแต่พวกเขาไม่สามารถเห็นใคร จากนั้นมีเสียงดังขึ้น "ฉันคือพ่อมดแห่งออซ เธอเป็นใคร? และเธอต้องการอะไร?" "เธออยู่ที่ไหน” โดโรธีถามฉันอยู่ทุกที่แต่เธอไม่สามารถมองเห็นฉัน ตอบฉันสิว่าเธอเป็นใครและเธอต้องการอะไร?" "เธอรู้จักพวกเราดี" หุ่นไล่กาพูด "เธอพูดกับฉัน ว่าจะช่วยโดโรธีฆ่าพ่อมดทิศตะวันออก และเธอสามารถให้สมองฉันได้" "ตอนนี้แม่มดได้ตายไปแล้ว และฉันก็ต้องการสมองของฉัน"
"ฉันต้องการหัวใจของฉัน" หุ่นเหล็กพูด "ฉันต้องการความกล้าหาญ" สิงโตผู้ขี้ขลาดพูด" " ฉันต้องการกลับบ้านที่แคนซัส" โดโรธีพูด "แม่มดตายแล้วจริงหรือ" เสียงปริศนานั่นพูด " ใช่ " โดโรธีพูด "ฉันสาดน้ำในตะกร้าใส่หล่อน และหล่อนก็หายตัวไป" "เยี่ยมมาก " เสียงนั้นพูด "พวกเธอค่อยมากันใหม่พรุ่งนี้ ฉันต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นก่อน" " ไม่ได้" หุ่นเหล็กพูด "ฉันต้องการหัวใจเดี๋ยวนี้เลย" "ฉันจะไม่รออีกต่อไป" หุ่นไล่กาพูด "และฉันจะกินเธอ" สิงโตพูดอย่างโกรธมาก โตโตรู้สึกกลัว มันเลยถอยออกห่างจากสิงโตและไปชนกับม่านกั้นใกล้ๆกับกำแพง ม่านกั้นก็หล่นลง ทุกคนก็เห็นผู้ชายแก่ๆคนหนึ่ง ไม่มีผม
หุ่นเหล็กมองดูอย่างโกรธและหยิบขวานของเขาขึ้นมา "เธอเป็นใคร" หุ่นเหล็กพูด "ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย" ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ "ฉันคือพ่อมดแห่งออซ" "แต่พ่อมดแห่งออซ มีหัวใหญ่ และไม่มีลำตัว" โดโรธีพูด " ไม่ใช่นะ เขาเป็นผู้หญิงสวย" หุ่นไล่กาพูด " เธอพูดผิดละ" หุ่นเหล็กพูด "พ่อมดแห่งออซเป็นสัตว์ตัวใหญ่มีสองหัว" "ไม่ใช่นะ" สิงโตพูด "พ่อมดแห่งออซเป็นดวงไฟกลมๆ" "พวกเธอทั้งหมดพูดผิดแล้วละ" ชายแก่พูด "ฉันคือพ่อมด แต่ฉันไม่ใช่พ่อมดจริงๆ
โอ้ ฉันรู้เรื่องมายากลมากมาย แต่ฉันไม่รู้เรื่องเวทมนต์ที่แท้จริง เธอเห็นไหม ฉันมาจากแคนซัสเหมือนกับพวกเธอ ฉันมาจากเมืองอีกเมือง ฉันมีมายากล และฉันขึ้นไปในบอลลูน บอลลูนมักจะอยู่บนเชือก แต่มาวันหนึ่งได้มีบางอย่างผิดปกติ เชือกขาดและบอลลูนก็ลอยไป เป็นเวลานานที่ลมได้พาบอลลูนของฉันข้ามไปอีกฟ้า จากนั้นฉันก็มาอยู่ทีนี่ ในเมืองออซ ผู้คนในเมืองนี้เห็นบอลลูนและพูดว่า " ผู้ชายคนนี้คือพ่อมด เขามาจากท้องฟ้า" พวกเขากลัวและต้องการที่จะทำงานให้กับฉัน พวกเขาจึงสร้างเมืองนี้ให้ฉันและเรียกเมืองนี้ว่า เมืองมรกต มรกตมีสีเขียว ฉันจึงทำแว่นตาสีเขียวให้กับทุกคน นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนี้จึงเป็นสีเขียว" หุ่นไล่กาถอดแว่นออก "โอ้" เขาพูด "ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าเมืองมรกตไม่ได้เป็นสีเขียว มันเพียงแค่มองเป็นสีเขียว ทั้งหมดนี้เป็นมายากล" "ใช่แล้ว" ชายแก่พูด "และมันเกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ฉันไม่เคยออกจากที่นี่ เพราะกลัวสองแม่มดชั่วร้าย ตอนนี้พวกเขาได้ตายไปแล้ว ขอบคุณเธอมาก โดโรธี แต่ฉันเสียใจที่ฉันไม่รู้เรื่องเวทมนต์ที่แท้จริง ฉันไม่สามารถช่วยเธอได้ "คุณชั่วมาก" โดโรธีพูด " ไม่นะเด็กน้อย ฉันเป็นคนดีมาก แต่ฉันเป็นพ่อมดที่ไม่ดี จริงใช่ไหม" "ไหนละสมองของฉัน" หุ่นไล่กาพูด "เธอไม่ได้ต้องการสมอง เธอเข้าใจบางสิ่ง เธอสามารถคิด เธอเรียนรู้ได้รวดเร็ว เธอฉลาดมากแล้ว" "ฉันต้องการสมอง" หุ่นไล่กาพูด "ดีมาก" ชายแก่พูด ฉันสามารถให้สมองเธอได้ในวันพรุ่งนี้เช้า" "ไหนหัวใจของฉันละ" หุ่นเหล็กถาม "เธอไม่ได้ต้องการหัวใจ" ชายแก่พูด "เธอหัวเราะ เธอร้องไห้ เธอรู้สึกรัก เธอรู้สึกเสียใจใครบางคน" หุ่นเหล็กมองเขาด้วยความโกรธและหยิบขวานของเขาขึ้น " ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย" ชายแก่พูด ฉันสามารถให้หัวใจเธอได้ในวันพรุ่งนี้เช้า" "ฉันต้องการที่จะมีความกล้าหาญ" สิงโตผู้ขี้ขลาดพูด " แต่เธอไม่มีความกล้าหาญ เธอทำในสิ่งที่กล้าหาญมากแล้ว ไม่นะ อย่ากินฉันเลย มาที่นี้พรุ่งนี้เช้า ฉันจะสร้างความกล้าหาญให้เธอ" "แล้วโตโต้กับฉันละ?" โดโรธีถาม "พวกเธอสามารถขึ้นไปบนบอลลูนของฉัน" พ่อมดพูด "และลมจะพัดพวกเธอจากที่นี่ไปยังแคนซัส บางทีมันสามารถพัดพวกเธอกลับไปแคนซัสอีกครั้ง
เช้าวันต่อมา พวกเขากลับมาที่ห้องของพ่อมดอีกครั้ง ชายแก่พร้อมแล้ว เขาหยิบขวดขึ้นมา ข้างขวดพันด้วยกะดาษสีเขียวแผ่นใหญ่และเขียนว่า สมอง เขาค่อยๆเปิดหัวของหุ่นไล่กาอย่างระมัดระวัง "อย่าขยับนะ! ฉันกำลังใส่สมองให้เธอ" ชายแก่พูด " "ตอนนี้เธอเป็นหุ่นไล่กาที่ฉลาดที่สุดในเมืองออซแล้ว" หุ่นไล่กาขอบคุณชายแก่ ต่อมาพ่อมดให้หัวใจดวงเล็กๆสีแดงกับหุ่นเหล็ก " ใส่ไว้ตรงนี้นะ" ชายแก่พูด หุ่นเหล็กมีความสุขมากๆและขอบคุณพ่อมดอีกครั้ง ต่อมาชายแก่หยิบขวดขึ้นมา ข้างขวด เขียนว่ากล้าหาญ "ลองดื่มนี่สิ" ชายแก่พูดกับสิงโตผู้ขี้ขลาด สิงโตดื่มมันเข้าไป "ใช่เลย ฉันรู้สึกกล้าหาญขึ้น" สิงโตตะโกน "ฉันรู้สึกกล้าหาญขึ้นมาก" ขอบคุณ
พ่อมดยิ้มให้กับพวกเขา "เธอไม่ต้องการมายากลของฉันเหรอ" เขาพูด "แต่ตอนนี้พวกเธอทั้งหมดมีความสุข และนั่นเป็นสิ่งที่ดี" "มานี่สิโดโรธี" เขาพูด "มาดูบอลลูนของฉันสิ มันพร้อมที่จะกลับบ้านแล้ว ฉันซ่อมมันเมื่อคืน" พวกเขาเดินไปยังสวนข้างบ้านของพ่อมด บอลลูนมีขนาดใหญ่มาก ด้านใต้มีกล่องเล็กๆอยู่ และพ่อมดแห่งออซก็กะโดดขึ้นไปในกล่องนั้น "มาสิ โดโรธี" เขาตะโกน "พวกเรากำลังจะไปแคนซัส อำลาเพื่อนๆของเธอสิ" "โดโรธีจูบหุ่นไล่กา สิงโต และหุ่นเหล็ก และอำลาเพื่อนทุกคน "มาสิโตโต้" หล่อนพูด "เราจะได้กำกลับบ้านที่แคนซัสแล้วนะ เราจะได้เจอป้าเอ็มและลุงเฮนรี่แล้ว" "แต่ทันใดนั้นโตโต้เห็นแมวมันจึงกระโดดจากแขนของโดโรธีและวิ่งตามแมวตัวนั้น "โตโต้" โดโรธีเรียกและวิ่งตามโตโต้


ตอนที่ 6 ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก-บ้านที่ดีที่สุด
"ปล่อยโตโต้ไว้ซะ แล้วรีบวิ่งมา" พ่อมดตะโกนเรียก "เชือกกำลังจะขาด!" โดโรธีอุ้มโตโต้ขึ้นและรีบวิ่ง "รอฉันด้วย" โดโรธีตะโกน แต่ก่อนที่โดโรธีจะมาถึง เชือกก็ขาด และบอลลูนก็ลอยขึ้น ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเราได้ยินเสียงชายแก่เริ่มไกลออกไป "ถามแม่มดทิศใต้" จากนั้นบอลลูนก็หายไป และไม่มีใครเห็นพ่อมดแห่งออซอีกเลย โดโรธีเริ่มร้องให้ "โอ้ แล้วฉันจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไร" "ใส่หมวกวิเศษสิ" หุ่นไล่กาพูด "และขอความช่วยเหลือจากลิงพวกนั้น บางทีบวกมันอาจจะสามารถหาแม่มดทิศใต้ได้และพาหล่อนมาหาฉันที่นี่""ฉลาดมากหุ่นไล่กา" โดโรธีพูด หล่อนใส่หมวกวิเศษและเรียกพวกลิงมา.เมื่อลิงมาถึง หล่อนพูด "ได้โปรดช่วยฉันค้นหาแม่มดทิศใต้และนำหล่อนมาให้ฉันที่เมืองมรกตนี้ ห้านาทีต่อมา ผู้หญิงสวยคนหนึ่ง มีผมสีแดง ก็มาถึง "ฉันคือจรินดา ฉันเป็นแม่มดทิศใต้" หล่อนพูด "อยากให้ฉันช่วยอะไรเธอ เด็กน้อย" "ฉันต้องการกลับบ้านที่แคนซัส" โดโรธีพูด "โปรดช่วยฉันได้ไหม" " ถามรองเท้าเธอสิ" แม่มดใจดียิ้ม แต่โดโรธีไม่เข้าใจ "รองเท้าสีแดงของเธอเป็นรองเท้าวิเศษ" จรินดาพูด มันสามารถพาเธอกลับบ้านได้ เพียงแค่เธอหลับตาและก็พูดว่า ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก เป็นบ้านที่ดีที่สุดของฉัน" จากนั้นก็กระโดด "โอ้ ขอบคุณมาก" โดโรธีร้องไห้อย่างมความสุข หล่อนจูบเพื่อนของหล่อนและล่ำลา จากนั้นหล่อนก็อุ้มโตโต และปิดตา "ทิศตะวันออกตะวันตกเป็นบ้านที่ดีที่สุด" หล่อนพูดและกระโดด ที่นี่เสียงเงียบเหมือนลมและทันใดนั้นโดโรธีก็อยู่บนท้องฟ้า รองเท้าสีแดงหล่นจากเท้าของหล่อนและหล่อนก็ไม่เห็นมันอีกเลย เมื่อหล่อนลืมตาขึ้น ที่นี่คือแคนซัส มีป้าเอ็มกับลุงเฮนรี่อยู่ในทุ่งหญ้ากับบ้านเล็กๆหลังใหม่ "โดโรธี" ป้าเอ็มร้องไห้ และวิ่งมากอดโดโรธีในอ้อมแขน "โอ้ โดโรธี เกิดอะไรขึ้น? และเธอมาจากที่ไหน? ฉันมาจากเมืองออซ "โดโรธีพูด "แต่ตอนนี้ฉันกลับบ้านแล้ว ฉันมีความสุขมากๆเลย


วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 16 ในห้องเรียน

Learning Log 15 นอกห้องเรียน

Learning Log 15 นอกห้องเรียน

จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบรูณาการทักษะในวันที่ 30 เวลา 13.00-16.00 น. โดยท่านวิทยากร ผศ.ดร ศิตา เยี่ยมขันติถาวร ในช่วงบ่ายนี้จะเป็นการทำทำกิจกรรมกลุ่ม จำลองห้องเรียน และการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน
The flipped Classroom ห้องเรียนกลับทาง การให้นักเรียนเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านแล้วมาพูดคุยกันในชั้นเรียนจะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้นเร็วขึ้น นักเรียนจะได้ทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ลุ่มลึกและกว้างขึ้น ครูเป็นเพียงแค่คนคอยให้คำแนะนำและตอบข้อสงสัย
การเรียนการสอนการออกเสียงเป็นส่วนสำคัญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการออกเสียงที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดปัญหาในการสื่อความ การเรียงรู้และการฝึกฝนออกเสียงที่ถูกต้องนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการออกเสียจึงการบรูณาการกับการสอนภาษาทุกทักษะ
การเรียนการสอนศัพท์ กล่าวถึงเทคนิควิธีจำคำศัพท์ กล่าวถึงเทคนิควิธีจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษซึ่งได้แก่ การจำคำศัพท์เป็นกลุ่ม วิธีจะจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ง่ายคือควรจะต้องจำเป็นกลุ่มคำ ซึ่งนอกจากจำคำศัพท์แล้วจะต้องวาดภาพคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกันออกมาเป็นแผนผัง หรือจัดความสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์เหล่านั้นแล้วเขียนออกมาเป็นแผนผัง ก็จะทำให้จำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น และง่ายต่อการนำไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้
นอกจากนี้ยังมีการทำกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมแรกคือ ร้องเพลง tic tack toe โดยการแบ่งกลุ่มร้องเพลง โดยแต่ละกลุ่มจะแข่งขันกัน และร้องเพลง left and left right and right back and Forward and Tic Tack Toe จากนั้นหัวแถวของทั้งสองกลุ่มก็เสี่ยงทากันมีค้อน กรรไกร และกระดาษ ฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะจะได้แข่งกับกลุ่มอื่นๆและถ้ากลุ่มไหนแพ้จะต้อท้ายแถวของผู้ชนะร้องเพลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาผู้ชนะได้ซึ้งมีเพียงกลุ่มเดียว  กิจกรรมที่สองคือ สุ่มตัวแทนออกมา 20 คน เกมนี้จะเป็นการสร้าง Story  โดยท่านวิทยากรจะกำหนดประโยคมาให้ One upon a time….. และให้ตัวแทนที่ออกมาสร้างเนื้อเรื่องต่อๆ กันจนจบเรื่อง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มวาดภาพที่ได้จากนั้นออกมานำเสนอและสรุปเนื้อเรื่องให้ได้ 3 ประโยค


Learning Log 14 นอกห้องเรียน

Learning Log 14 นอกห้องเรียน

  จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบรูณาการทักษะในวันที่ 30 เวลา 08.00-12.00 น. ต่อกันด้วยท่านวิทยากรคนเดิม ผศ.ดร ศิตา เยี่ยมขันติถาวร มาพูดคุยกันในหัวข้อแนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา และวิธีการสอนในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์มีหลายวิธีสอน เช่น
 วิธีสอนแบบตรง (Direct Method) อิงแนวคิดที่ว่า ภาษา  คือ ภาษาพูด การเรียนภาษา คือการให้ผู้เรียนได้สื่อสารด้วยภาษาที่เรียนนั้น และเพื่อให้ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการที่จะคิดเป็นภาษาที่เรียนด้วย ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาจึงควรใช้ภาษาต่างประเทศที่เรียนนั้นตลอดเวลาและสื่อสารราวกับอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ
วิธีสอนแบฟัง-พูด (The audio-Lingual Method) อิงแนวคิดที่ว่า ภาษา  คือ ภาษาพูดการสอนภาษาจึงเริ่มจากการฟัง-พูดซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่การอ่านและการเขียน ดังนั้นภาษาที่นำมาให้ผู้เรียนเรียนควรเป็นภาษาที่เจ้าของภาษาใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน จึงมีการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาด้วย ผู้เรียนจะต้องเลียนแบบเสียงของผ็สอน จนสามารถฟังเข้าใจ เน้นการท่องจำบทสนทนา แล้วจึงเริ่มการฝึกอ่านและเขียน
วิธีสอนแบบธรรมชาติ (The natural Approach) เป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยไม่มีใครสอน พัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อการสื่อสารเกิดขึ้นกับเจ้าของภาษาโดยที่ยังคงให้ความสำคัญของความถูกต้องในการใช้ไวยากรณ์ โดยวิธรตรวจแก้ไขไปเรื่อยๆ และในระยะยาวผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ถูกต้องและเหมาะสมตามหลักไวยากรณ์ โดยเชื่อว่าความเข้าใจข้อความจะมาก่อนการพูดสนทนา และไม่จะเป็นต้องแสดงออกในด้านการพูด
วิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia) การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยความสนุกสนานผ่อนคลายทางจิต กิจกรรมทางภาษาที่เน้นการสื่อสาร เน้นสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในการใช้ภาษา เช่น การแสดงละคร การฟังบทสนทนาโดยมีดนตรีเบาๆประกอบ
การเรียนรู้แบบรวมมือ ( Cooperative Learning) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดให้ผู้เรียนยังมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะเป็นประชาธิปไตย เช่น คิดและคุยกัน กิจกรรมโต๊ะกลม คู่ตรวจสอบ
การเรียนรู้จากการทำโครงงาน (Project –Base Learning) เป็นวิธีการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การทำโครงงานต้องเริ่มต้นจากผู้เรียนเป็นผู้คิด ลงมือปฏิบัติ หาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีผู้สอนคอยแนะนำช่วยเหลือ กระตุ้น เช่น การจัดนิทรรศการ
ต่อไปจะเป็นการกล่าวเสวนาในหัวข้อ แนวการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณการเนื้อหาและทักษะภาษาและ แนวการสอนเพื่อการสื่อสาร(The Communicative Approach หรือ Communicative Language Teaching) เป็นการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการเรียนซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญของผู้เรียนโดยเริ่มจากการฟังไปสู่การพูด การอ่าน การจับใจความสำคัญ ทำความเข้าใจ จดจำ แล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ การสอนภาษาว่าด้วยการนำเสนอภาษาใหม่ในรูปแบบภาษาที่พบในสถานการณ์จริง เพื่อนำไปสู่การสอนคำศัพท์ ไวยากรณ์ การออกเสียงมีการฝึกฝนจนสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและจึงนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์จริงๆ
การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการเป็นการเชื่อมโยงความคิดรวบยอดและประสบการณ์ต่างๆเข้าด้วยกัน เป็นการช่วยให้เกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้จากวิชาหนึ่งไปอีกวิชาหนึ่ง และยังสามารถเชื่อมโยงสิ่ที่เรียนให้เข้ากับชีวิตจริงและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ จนเกิดการเรียนรุ้ที่มีความหมายมากขึ้น


Learning Log 13 นอกห้องเรียน

Learning Log 13 นอกห้องเรียน 

จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบรูณาการทักษะในวันที่ 29 เวลา 13.00-16.00 น. ในหัวข้อความรู้เชิงบรูณาการของครูสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 กับการเป็นสมาชิกอาเซียน โดย ผศ.ดร ศิตา เยี่ยมขันติถาวร  ได้กล่าวว่าปัจจุบันในด้านการพูดภาษาอังกฤษสังเกตได้เลยว่า ไม่ว่าจะท่านวิทยากรครูผู้สอน  หรือคนอื่นๆ ไม่พ้นต้องมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ  เพลงไทยเองถ้าอยากให้ดูโมเดิร์นต้องเพิ่มศัพท์ภาษาอังกฤษไปเพลงด้วย อย่างเช่นเพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย  “Too  much so much  ……..Loving you to much so much  very  much right how  ไม่รู้ว่าเจอเธอทำไมถึงยาก chill chill  ได้ไหม รู้ไหมดวงใจฉันปลิว รักเธอมากเกินไป มาก มาก มาก มากมาย but don’t you so ซักกะตาย I hot to lie ไม่อยากจะน้ำตาออก my eyes” แต่สิ่งที่สังเกตเห็นจากการที่ทั่งวิทยากร นักพูด เพลง คนดังหรือคนทั่วไปเอามาใช้กันนั้น มีหลายคำที่สร้างปัญหาทำเอาฝรั่งงง และใช้กันมาอย่างต่อเนืองโดยไม่มีวีแววจะเปลี่ยนแปลขนาดครูผู้สอนเองก็ยังนำไปใช้ในห้องเรียนจนติดกันไปตามๆกัน เราไมพูดเรื่องออกเสียผิดก่อนแต่เราจะพูดเรื่องใช้คำผิด ตัวอย่างเช่น
1.คำที่แปลงสบายๆปัจจุบันมักใช้คำว่า chill (ชิล)กันบ่อยๆใครไม่พูดคำว่าชิลบอกได้เลยว่าคุณเอาต์มากแต่ปัญหาคือในบางครั้งไปใช้คำว่า chill  chill จนบางครั้งวิทยากรก็สงสัยว่าเด็กไทยเข้าใจคำนี้ว่าอย่างไร ที่จริงคำนี้มาจากคำว่าchill out ที่แปลว่าสบายๆ หรือ relax ส่วนคำว่า chill chill ที่นิยมพูดกันนั้นไมได้แปลว่าสบายแต่อย่างใด ดังนั้นจีงควรใช้ประโยคว่า Don’t worry, just chill chill! และถ้าจะพูดกับฝรั่งก็ต้องพูดว่า chill out เช่น I need a  place to chill out and enjoy food.
2. Out หรือ เอาต์ มักเป็นคำพูดติดปากและเป็นแสลงที่ใช้ทุกวัน คำนี้ในบริบทของเมืองไทยหมายความว่า ตกยุคหรือล้าสมัยไปแล้ว ที่จริงคำนี้มาจากคำเต็มๆว่า out of date  แต่มันยาวเกินไป เราเลยใช้แค่เอาต์เฉยๆ แต่ถ้าไปพูดกับฝรั่งว่า เอาต์จะเป็นการไล่ให้เขาออกไป  เวลาพูดับฝรั่งคุณจะต้องพูดว่า You’re out of date. แปลว่าคุณนี่ไม่ทันสมัยเลย หรือ คุณตกยุคมากๆ  และอย่าเผลอพูดกับฝรั่งว่า” You out “เขาจะนึกว่าไล่เขาให้ออกไป
3.คำที่แปลว่าพูดจาเกินจริงที่เห็นได้ชัดและได้ยินบ่อยๆว่า เวอร์มาก” “เธอโอเวอร์ถ้าเป็นภาษาอินเตอร์เน็ตคงต้องใช้คำว่า เธอเวอร์มว๊าก และบางทีมีการนำไปใช้ในประโยคภาษาอังกฤษด้วยว่า She is over. ซึ่ที่จริงการพูดประโยคนี้ไม่มีความหมายใดๆเลยในภาษาอังกฤษ เราควรใช้คำว่า over the top หรือ exaggerate ที่เป็นคำกริยาหมายถึง การพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง เช่น
Susan : Have you listen to Peter’s speech yesterday? I think his presentation was over the top
Bill : Yes, he is over the top.
หรือถ้าจะบอกว่าอย่าพูดเกินจริงให้ใช้คำว่า Don’t be over the top. หรือ Don’t exaggerate. ส่วนอาการแสดงเกินจริงนั้นเราจะใช้คำกริยา overact เช่น You’re overacting. แปลว่าเธอทำเกินจริง
                4. เธอๆเดี่ยววันเสาร์ไปแจมด้วยนะคำที่แปลว่า ขอร่วมด้วยหรือขอมีส่วนร่วม ปัจจุบันเด็กไทยนิยมใช้คำว่า แจม (jam) เช่น I want to jam your trip. ซึ่งผิดบริบทในภาษาอังกฤษอย่างมาก เพราะในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam เพราะแปลว่า ติดขัด แออัด หรือถ้าเป็นคำนาม แปลว่า แยมทาขนมปัง ดังนั้นจึงควรใช้คำว่า join แทน เช่น I want to join your trip. เวลาขอเขาไปด้วย
                5.คำว่าชุดแซกซึ่งเป็นคำที่คนไทยนิยมใช้กันทั่วไปไม่ว่าจะเป็นร้านค้า คนซื้อขาย ซึ่งจริงๆแล้ว ความหมายของแซก คือกระสอบ ไม่ได้เป็นประเภทของชุดแต่อย่างใด ที่จริงการใช้คำว่า เดรส (dress) ที่แปลว่า ชุดที่เสื้อกับกระโปรง เพราะฉะนั้นเวลาจะไปซื้อชุด ต้องพูดว่า “ I want to buy a few dresses at a flea market.
                ต่อไปจะเป็นการพูดถึงความรู้เชิงบูรณาการระหว่างวิชาชีพครูกับวิชาภาษาอังกฤษ จะต้องมีความเข้าใจในหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนในระดับประถมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอย่างบูรณราการ คือการพูด การเขียนและภาษากาย มีความรูเรื่องการออกแบบและวาแผนการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้อย่างเหมาะสมกับวัยและระดับของผู้เรียน ตลอกจนมีความรู้เรื่องการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้และออกแบบและสร้างสื่อภาษาอังกฤษได้ ซึ่งคุณลักษณะขอครูในศตวรรษที่ 21 จะต้องกล้าแสดงออกโดยเฉพาะการพูดและสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องตามมาตรฐานนอกจากนี้ภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย ซึ่งปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงมีดังนี้


Learning Log 12 นอกห้องเรียน

Learning Log 12 นอกห้องเรียน

                จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบรูณาการทักษะในวันที่ 29 เวลา 08.30-12.00 น. ช่วงแรก ผศ.ดร. ประกาศิต สิทธิ์ธิติกุล นายกสมาคมครูสอนภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย (Thailand TESOL) กล่าวเสวนาวิชาการงานวิจัยในหัวข้อ Beyond Language Learning โดย ดร.สุจินต์ หนูแก้ว อาจารย์สุนทร บุญแก้ว และ ผศ.ดร ประกาศิต สิทธิ์ธิติกุล เป็นผู้ดำเนินรายการกล่าวว่าในปัจจุบันเราจะใช้ภาษอังกฤษเป็นเครื่องมือในการสืบหาความรู้ในวิชาอื่นๆ รวมทั้งที่จะไปทำงานในสาขาอื่นๆจะเห็นได้ว่าทฤษฎีในการเรียนภาษาอังกฤษนั้นมันมากกว่าการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเท่านั้น หลักการเรียนการสอนในไทยหรือทั่วโลกจะเน้นการเรียนการสอนแบบ Standard มี 5 หัวข้อใหญ่คือ 5
               C แรกคือ C-communication หมายถึง การสื่อสาร Cที่สองก็คือ C-culture ผู้เรียนจะต้อมีความรู้เรื่อง culture completion ซึ่งนอกจากเรื่องภาษาแล้วเราต้องเข้าใจบริบทของวัฒนธรรมที่เราคุยด้วย C ที่สามคือ C-comparison คือ การเปรียบเทียบตัวภาษาและวัฒนธรรมของเรากับประเทศอื่นๆและC สุดท้ายคือ C=Communityคือเราจะต้องเรียนภาษาท้องถิ่นด้วยและ 5C นี้จะเป็นหัวใจหลักที่เราจะต้องทำให้ได้มากกว่า Communication ซึ่งก็คือการสื่อสาร ซึ่งวิทยากรที่ได้เชิญมาพูดคุยก็จะมีมุมมองการเรียนภาษามันได้เกิน Beyond Language Learning ไปแล้ว ซึ่งมี social skill life skill และรวมถึง analytical skill และเราจะเรียนภาษาอย่างไรที่จะให้เด็กมีทักษะในการสื่อสารแล้วจะต้องมีทักษะในด้านอื่นๆด้วย วิทยากรในวันนี้ คือ ท่าน ดร.สุจินต์ และท่านอาจารย์สุนทร บุญแก้ว จะมาพูดคุยกันในหัวข้อ Beyond Language Learning ดร.สุจินต์ กล่าวว่า ตัวอาจารย์เองกับอาจารย์ท่านอื่นๆได้ร่วมกันทำวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่ง และจากที่ ดร.ประกาศิตได้กล่าวว่าในด้านภาษาอังกฤษนี้เราต้องมี 5C แต่จริงๆแล้ว ถ้าเป็นบุคคลในศตวรรษที่20 ของท่านนายแพทย์วิจารณ์ พาหะนิช ท่านได้กล่าวว่า คุณลักษณะจำเป็นอย่ายิ่งที่เหมาะแก่คนในศตวรรษที่21 ในการมีชีวิตอยู่และการดำรงเรียนรู้จะต้องประกอบด้วย7C เกิน 5C ไปอีก ซึ่งเพิ่มความสามารถไปอีก 3 ประการที่คนในยุคที่21 ควรจะมีก็คือความสามารถในการอ่านการเขียน ความสามารถในการคิดคำนวณ ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถขั้นพื้นฐาน ทำไมถึงบอกว่าการอ่านการเขียนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้เราจะได้ตัว Information หรือ ข้อมูลทั้งหลายโดยการผ่านการอ่านแม้กระทั้งในโทรศัพท์เราก็ยังต้องอ่านจึงเป็นเรื่องสำคัญแต่จะเห็นได้ว่า ผู้เรียนยุคใหม่ของเรา มีสิ่งที่ขาดนั่นก็คือการวิเคราะห์ เมื่อรับข้อมูลเข้ามาแล้วก็ไม่ทราบว่าอะไรการจะเชื่ออะไรควรจะสกัดออก อันนี้เป็นความจริงหรือเปล่าหรืออันนี้เป็นความเท็จ คือได้มาแล้วเราก็จะแชร์ๆกันต่อโดยที่เราไม่ได้วิเคราะห์ว่าสิ่งนี้เป็นแค่ Joking หรือเปล่า มันจึงทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสังคมมาก เพราฉะนั้นตัวนี้คือตัวสำคัญ ทางทีมวิจัยเลยคิดว่าสิ่งที่เราควรจะพัฒนาให้กับผู้เรียนซึ่ง Beyond Language เลยก็คือเรื่องของ Thinking skill เรื่องของการคิดเพราะสำคัญมาก ในส่วนของ7C ก็จะมีการคิดอยู่เหมือนกันในคุณลักษณะของคนในศตวรรษที่21 C แรกเลยก็คือ Critical thinking and problem solving ต้องคิดตีความให้ได้ และจะต้องรู้เท่าทันสื่อสำคัญมากคือเราจะต้องกรองให้เป็นC ต่อไปก็คือ Computing and ICT ability ความสามารถด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร สุดท้าย career and learning skill ซึ่งตัวนี้จะสำคัญกับเราในฐานะอาชีพครูเราจะต้องสอนตัวนี้ให้กับนักเรียน การที่ผู้เรียนเรียนกับเราไม่ได้หมายความว่า เขาเรียนไปแล้วเพื่อจะไปเรียนต่อเท่านั้นแต่หายความว่าถึงเขาไม่เรียนต่อเขาก็จะสามารถที่จะเอาไปประกอบอาชีพได้แล้วแต่เขาจะเลือกเส้นทางไหน แต่อย่างไรก็ตาม เขาต้องรู้เท่าทัน รู้วัฒนธรรมและต้องเป็นผู้นำและผู้ตาม และจะต้องเป็นผู้ที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆจากงานวิจัยจะใช้ในส่วนนี้เป็นตัวจุดประกายพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ของบลูม ซึ่งเป็นลำดับขั้นการเรียนรู้ของคน ซึ่งบลูมได้กล่าวว่าขั้นต่ำสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์นั่นก็คือ ความรู้ความจำ (remembering) ขั้นที่สองคือความเข้าใจ (understanding) ขั้นที่สามคือ สามารถนำไปใช้ได้ ขั้นถัดไปก็คือความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (analyzing) และสุดท้ายคือการประเมินค่า แต่ต่อมาลูกศิษย์ของบลูมได้กล่าวว่า การประเมินค่ายังไม่ใช่ความสามารถขั้นสูงสุดของการเรียนรู้ ความสามารถขั้นสูงสุด นั่นก็คือเอาเรื่องของการสังเคราะห์ขึ้นไปอยู่เหนือการประเมินค่านั่นหมายความว่าหลังจากที่เราวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงได้แล้ว แล้วคุณประเมินค่าเมื่อประเมินค่าเสร็จแล้ว เราก็เอาสิ่งที่เหลือมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
อาจารย์ท่านต่อไปก็คืออาจารย์สุนทร บุญแก้ว อาจารย์ท่านมีความพยายามอย่างมาที่จะให้นักเรียนของตัวเองมีความเชี่ยวชาญในด้านภาอังกฤษและทักษะอื่นๆด้วย อาจารย์จึงทำโครงการขึ้นให้เด็กนักเรียนไปประเทศมาเลเซีย และได้มีโอกาสไปร่วมโครงการ PBL (problem based learning) จากข้อสรุปที่ได้มาสัมผัสอาจารย์ก็คิดในเรื่องของการปรับปรุงหลักสูตรด้วยที่สรุปได้เป็น 3 ประเด็นที่เราต้องทำความเข้าใจ ประเด็นที่หนึ่งคือผู้เรียนไม่รู้ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร ประเด็นที่สอง ให้เด็กเรียนรู้ภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมการใช้ชีวิตเศรษฐกิจ ประชากรด้วย สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือสภาพแวดล้อมต้องเอื้อต่อการเรียนรู้สรุปคือพาเด็กนักเรียนรู้ภาษาและใช้ภาษาให้เกิดประสบการณ์ learning to use language.





Learning Log 11 นอกห้องเรียน

Learning Log 11 นอกห้องเรียน

การเรียนภาษาอังกฤษจากบทเพลงนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนที่เรียนภาษามาก เพราะภาษานั้นต้องการการฝึกฝน และการที่เราจะฝึกฝนภาษาให้ได้ดีนั้น จะต้องได้ยินได้ฟังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์หรือเพลงล้วนทำให้เรารู้สึกว่าภาษาอยู่กับเราตลอดเวลา เพราะในบทภาพยนตร์หรือบทเพลงนั้นนอกจากเราจะได้ฝึกเสียงสำเนียงของเจ้าของภาษาแล้วเรายังได้ในส่วนที่เป็นสำนวน หรือ ประโยคฮิตที่ได้จากการฟัง ซึ่งบทเพลงที่ฉันได้ฟังนั้นจะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆสุขๆและโศกเศร้าปะปนกันไป เห็นไหมว่าการฟังเพลงนอกจากจะทำให้เราผ่อนคลายแล้วยังทำให้เราได้รู้ความหมายของบทเพลงนั้นด้วย ซึ่งบทเพลงที่ฉันได้ฟังในสัปดาห์นี้มีหลายเพลง ตัวอย่างเช่น
เพลงแรกคือ How Am I Supposed to Live Without You จากชื่อเพลง ก็คงจะปวดร้าวแล้วใครที่มีความรักและกำลังจะถูกทำร้ายก็ต้องฟูมฟายเป็นธรรมดา ในเนื้อเพลงประโยคแรก I could hardly believe it. ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลย เวลาที่เจอคำว่า hardly ซึ่งใช้แสดงความกี่ความบ่อย ให้วางไว้ระหว่างกริยาช่วยและกริยาแท้ เช่น I can hardly think that… ฉันแทบจะไม่คิดเลยว่า… When I heard the news today. เมื่อฉันได้รู้ข่าวนั้นในวันนี้ I had to come and get it straight from someone = ได้รู้ความจริงจากปากของคนนั้น They said you were leaven เขาบอกว่าเธอกำลังจะจากฉันไป Someone swept you heart away มีคนรักใหม่เอาใจเธอไปแล้วสำนวน to sweep one’s hear away = เอาใจคนใดคนหนึ่งไป From the look upon your face I see it’s true . มองจากสีหน้าของเธอฉันรู้ว่านี่คือเรื่องจริง สำนวน From the look upon one’s face = จากสิ่งที่เห็นบนใบหน้าใครคนใดคนหนึ่ง So tell me all about it, tell me about the plans you’re making ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังที บอกฉันหน่อยว่าเธอเตรียมการอะไรอยู่ Then tell me one thing more before I go บอกฉันหน่อยนะก่อนที่ฉันจะจากไป Tell me how am I supposed to live without you บอกฉันหน่อยซิว่า จะให้ฉันอยู่โดยไม่มีเธอได้อย่างไร Now that I’ve been loving you so long เพราะฉันรักเธอมานานมากแล้ว สำนวน to have been + กริยา ing ก็หมายถึง ทำสิ่งนั้นมานานแล้ว และก็ยังคงทำสิ่งนั้นต่อไปอีก How am I supposed to carry on ฉันจะเดินต่อไปได้อย่างไร สำนวน to carry on = ดำเนินต่อไป When all that I’ve been living for is gone ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นได้จากไปแล้ว สำนวน to live for = อยู่เพื่อคนใดหรือสิ่งใด To be gone = จบลงสิ้นสุดลง I didn’t come here for crying ฉันไม่ได้มาเพื่อจะร้องไห้คร่ำครวญ Didn’t come here to breakdown ฉันไม่ได้มาเพื่อจะทำให้แตกหัก It’s just a dream of mine is coming to an end เป็นเพียงความฝันหนึ่งขอฉันที่กำลังจะจบลง สำนวน to come to an end = จบลงสิ้นสุดลง And how can blame you และฉันจะขอโทษเธอได้อย่างไร When I built my world around เมื่อฉันสร้างโลกในแบบนี้เอง The hope that someday we’d be so much more friends ความหวังที่ว่า วันหนึ่งเราจะเป็นได้มากกว่าเพื่อน สำนวน to be more than friend = มากกว่าเพื่อน And I don’t  wanna know to price I’am gonna pay for dreaming. และฉันไม่อยากจะรู้หรอกว่า ฉันต้องสูญเสียอะไรบ้างเพื่อที่จะฝัน สำนวน to pay a price for something = เสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง เช่น You have to pay the price for success. คุณต้องสูญเสียบางอย่างสำหรับความสำเร็จที่ได้มา At what price should I pay to get her back? ฉันต้องสูญเสียอะไรบ้างเพื่อที่ให้ได้เธอกลับมา When even now it’s more than I can take เมื่อมันกลับมากเกินกว่าที่ฉันจะรับได้ สำนวน It’s more than I can take = มันมากกว่าที่ฉันจะรับได้ And I don’t wanna face the price I’m gonna pay for dreaming และฉันไม่อยากประสบกับสิ่งที่ฉันต้องสูญเสียอีกเพื่อที่จะฝัน Now that your dream has come true เพราะความฝันของเธอนั้นเป็นจริงแล้ว คำว่า Now that = เนื่องจากหรือเพราะว่า
เพลงที่สองคือ How can you mend a broken heart? เพลงนี้เขาพูดถึงการเสียอกเสียใจที่เกิดจากความรักว่า รักนี้จะหวนคืนมาได้อย่างไร และคนเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรหากไร้ซึ่งความรักเพราะหากต้องอยู่อย่างไม่มีความรักไว้หล่อเลี้ยงหัวใจอยู่ต่อไปชีวิตมันจะเหี่ยวเฉาลงไปทุกที เนื้อเพลในประโยคแปลได้ว่า I think of younger days when living for my life. ฉันคิดถึงวันเก่าๆ ที่ฉันมีชีวิตเพื่อตัวฉันเอง สำนวน to thik of + younger day  = วันคืนเก่าๆ สำนวน to live for myself = มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง สำนวนนี้ ดัดแปลงได้ว่า to live for yourself = ก็คือมีชีวิตอยู่เพื่อคุณ หรืออาจจะบอกว่า You should a man could want to do. ฉันทำทุกอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำได้ I could never see tomorrow, but I was never told about the sorrow. ฉันไม่มีวันจะเห็นวันพรุ่งนี้อีกแล้ว แต่ก็จะไม่มีใครมาบอกฉันในเรื่องความโศกเศร้านั้นอีก สำนวนนี้เศร้ามากเพราะคนไหนที่มองไม่เห็นอนาคตแล้ว ก็เหมือนคนที่ไม่มีความหวัง จะอยู่ไปทำไม ซึ่งประโยคนี้น่าเห็นใจ เพราะคำว่า never see tomorrow ไม่มีวันเห็นอนาคตอีกแล้ว และสำนวน to be never told about + สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หมายถึง ไม่มีวันได้รับการบอกถึงสิ่งนั้น And how can you mend a broken heart? เธอจะช่วยทำให้ถามใจได้อย่างไร สำนวน to mend a broken heart = ถามใจ คำว่า to mend นั้นสามารถใช้ว่า to fix หรือ to repair ก็ได้ How can you stop the rain from  falling down? เธอจะห้ามฝนไม่ให้ตกได้อย่างไร ประโยคนี้ เขาใช้โครงสร้าง to stop + สิ่งใดหรือใคร + from + กริยา + ing ก็คือ ห้ามไม่ให้สิ่งใดหรือคนใดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง How can you stop the sun from shining? เธอจะหยุดพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้อย่างไร What make the world go round? อะไรหรือที่ทำให้โลกใบนี้ขับเคลื่อนต่อไปได้ สำนวน to make the world go round = ทำให้ โลกนั้นหมุนไป How can you mend this broken man? เธอจะดามหัวใจของชายคนนี้ได้อย่างไร How can a loser ever win? คนที่แพ้จะมีวันชนะไหม Please help me mend my broken heart and let me live again. ช่วยดามใจฉันทีและทำให้ฉันมีชีวิตรักอีกครั้งเถอะ สำนวนที่น่าเห็นใจก็คือ let me live again = ได้โปรดช่วยให้ฉันมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถอะ I can still feel the breeze that rustles thought the trees ฉันสามารถรู้สึกถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านเหล่าพฤกษา And misty memories do days gone by และความทรงจำที่เลือนลางทำให้วันเวลามันผ่านไป สำนวน to rustles thought the trees ให้นึกถึงภาพตอนที่ลมพัดผ่านต้นไม้(คิดดูเอาเองว่ามันจะมีความสุขขนาดไหน) เพราะตอนที่ลมมันไม่พัดนั้นมันโคตรจะร้อนเลย รักที่ไม่สมหวังก็เหมือนกับอากาศในยามนั้นและความทรงจำที่ลางเลือน misty memories มันเบลอไปหมดแล้ว สำนวน misty memories do days gone by = ความทรงจำที่ลางเลือนนั้นทำให้วันเวลามันผ่านไป we could never see tomorrow, no one said a word about the sorrow. เราจะไม่มีวันพบเจอวันพรุ่งนี้ ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับความเสียใจเลย
เพลงสุดท้ายคือ Holiday ในเนื้อเพลงกล่าวว่าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่กันตามลำพัง เพราะการได้อยู่กับคนที่รักนั้นก็คือความสุขเหมือนกับเราทำงานใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นมันจำเจ ต้องหาอะไรที่มันแปลกแตกต่างออกไปบ้าง เนื้อหาในบทเพลงแปลได้ดังนี้ Let me take you far away ขอให้ฉันพาเธอไปไกลแสนไกล สำนวน Let me + do อะไร ก็คือ ขอให้ฉันทำอะไร เช่น Let me help you. ขอให้ฉันได้ช่วยคุณนะ You’d like a holiday เธอต้องพักใจแล้วละ Exchange the cold days for the sun ไปหาแสงแดดอันอบอุ่นแทนที่วันอันหนาวเหน็บ cold days = ในเวลาที่มีปัญหา A good time and fun ไปหาความสนุกสนานกันเถอะ สำนวน A good time and fun = ช่วงเวลาแห่ความสุขและความสนุก Exchange your trouble for some love ไปเติมความรักแทนความทุกข์ใจ สำนวน to exchange + สิ่งใด + for + สิ่งใด ก็หมายถึง แลกเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง ในที่นี้คือ แลกเอาความทุกข์ใจเพื่อความรักสักเล็กน้อย Wherever you are ไม่ว่าเธอจะอยู่หนใด Let me take you for away ขอให้ฉันพาเธอเถอะ You’d like a holiday เธอต้องการเวลาพักใจ Longing for the sun you will come ถวิลหาพระอาทิตย์เธอจะมา To the island without name ยังเกาะนิรนามกันเถอะ Longing for the sun  be welcome ถวิลหาพระอาทิตย์สาดส่องให้ความอบอุ่น On the island many miles away from home บนเกาะที่อยู่ห่างจากบ้านไกลแสนไกล คำว่า island นั้นจะไม่ออกเสียง s จะอ่านว่า อายล์แลนด์ และสำนวน many miles away from home = หลายไมล์ที่ห่างจากบ้าน Be welcome on the island without name ยินดีต้อนรับสู่เกาะนิรนามนี้ Longing for the sun you will come อยากให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง เธอจะมาอยู่กับฉัน สำนวน Longing for มาจากคำกริยา  to long for หมายถึง ปารถนา ต้องการอย่างมาก to the island many miles away from home มาอยุ่เกาะนี้ที่ไกลแสนไกลจากบ้าน 

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แต่งประโยค Noun Clause

แต่งประโยค Noun Clause

1. Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-words

1.1 What
- What the company plans to do is to increase our salary next month.
 สิ่งที่บริษัทวางแผนจะทำ คือการขึ้นเงินเดือนของพวกเราเดือนหน้า

- We don't like what the company plans to do.
เราไม่ชอบสิ่งที่บริษัทวางแผนที่จะทำ

 1.2 when
- When the company will increase our salary will be announced tomorrow.
 บริษัทจะขึ้นเงินเดือนของพวกเราเมื่อไหร่ จะมีการประกาศพรุ่งนี้

- Nobody knows when the company will increase our salary.
ไม่มีใครทราบว่าบริษัทจะขึ้นเงินเดือนพวกเราเมื่อไหร่

1.3 Where
-Where we will move our capital is yet not known.
ที่ที่เราจะย้ายเมืองหลวงไป ยังไม่เป็นที่รู้กัน

-The parliament is discussing where we will move our capital.
รัฐสภากำลังอภิปรายว่าพวกเราจะย้ายเมืองหลวงของเราไปที่ไหน

1.4 Why
-Why the company will not increase our salary is difficult to understand.
ทำไมบริษัทจะไม่ขึ้นเงินเดือนของพวกเรา เป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ

-Not many people know why the company will not increase our salary.
มีคนไม่มากนักรู้ว่าทำไมบริษัทจะไม่ขึ้นเงินเดือนของพวกเรา

1.5 How
-How they built the pyramids is amazing to me.
พวกเขาสร้างปิรามิดอย่างไร น่าอัศจรรย์สำหรับผม

-I want to know how they built the pyramids.
 ผมอยากทราบว่าพวกเขาสร้างปิรามิดได้อย่างไร

1.6 Who
-Who she went out with last night is not my concern.
เธอออกไปเที่ยวกับใครเมื่อคืนนี้ ไม่ใช่ธุระอะไรของผม

-I know who she went out with last night.
 ผมรู้ว่าเธอออกไปกับใครเมื่อคืนนี้

2. Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย that

2.1 That
-That the company will increase our salary next month is not true.
 ที่ว่าบริษัทจะขึ้นเงินเดือนของพวกเราเดือนหน้า ไม่เป็นความจริง

-I do not believe that the company will increase our salary next month.
ผมไม่เชื่อว่าบริษัทจะขึ้นเงินเดือนของพวกเราเดือนหน้า





วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 10 นอกห้องเรียน

Learning Log 10 นอกห้องเรียน

                ในปัจจุบันแน่นอนว่าประเทศที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษย่อมรู้ดีว่าคนจะเรียนรู้ภาษาให้ซาบซึ้งจะต้องสามารถใช้ภาษาเข้าสู่สังคมและวัฒนธรรมสามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสังคมวัฒนธรรมตามสถานการณ์ได้ในทุกทักษะของภาษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดีจะมีโอกาสในการจ้างงานสูง มากกว่าผู้ที่ไม่มีทักษะทางภาษาเลยอันเนื่องจากภาษาอังกฤษมีการใช้กันทั่วโลกมากกว่าภาษาอื่นๆ การเรียนรู้ภาษาให้ได้ผลดีจะต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้แบบธรรมชาติ เน้นการมีส่วนร่วมทางภาษาให้มากที่สุด คือ ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้จากการฟังและการพูดอย่างเป็นธรรมชาติจนเกิดทักษะ เริ่มจากการพูดในชีวิตประจำวันในครอบครัว แล้วค่อยขยายออกไปสู่โลกภายนอกมากขึ้น เพื่อเป็นฐานในการเรียนรู้ทักษะในระดับสูงขึ้น
                การสอนทักษะการพูดและทักษะการฟังเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และผู้สอนอันเป็นต้นแบบจะต้องพัฒนาความรู้ทางภาษาให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษาให้มากที่สุด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีต่างๆที่อำนวยในการเรียนรู้ภาษา BBC, CNN เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยในการฝึกภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกได้ และเราจะต้องหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถสื่อสารภาษาได้อย่างถูกต้องและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและสถานการณ์ต่างๆได้ และการที่เราจะสามารถสื่อสารภาษาได้นั้นจะต้องมีฐานความรู้ด้านไวยากรณ์ ด้านคำศัพท์และการสะกดคำได้ไม่มากก็น้อยเพื่อต่อยอดการศึกษาทักษะการใช้ภาษา
                การเรียนภาษานอกห้องเรียนในวันนี้จะเป็นการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ จาก VCD ชุด SAY IT RIGHT! ซึ่งการออกเสียงภาษาอังกฤษบางคนอาจคิดว่าไม่ใช่ปัญหา แต่จริงๆแล้วมันกลับเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับคุณโดยไม่รู้ตัว เพราะการออกเสียงภาษาแบบผิดๆนั้นจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดแบบผิดๆไปด้วย และจะเป็นอย่างไรถ้าเราสั่งข้าวผัด (Fried rice) แต่เราออกเสียงผิดเป็น (Fried lice) ไม่ต้องสงสัยเลยเราก็จะได้ เหาผัด มากินแทน
คำว่า I got the tanks และ thanks TH นับเป็นอีกสียงหนึ่งที่ภาษาไทยไม่มี หลายคนใช้ ธ.ธงแทน TH เช่น Thank you จะกลายเป็น ธางค์ ยู แต่คงไม่เป็นไรแต่อย่าไปคิดว่า TH ตรงกับ ธ.ธงเพราะมันต่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า ในภาษาอังกฤษมีไม่กี่คำที่สะกดด้วย TH และออกเสียงคล้าย ท.ทหาร ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่หรือคำเฉพาะ เช่นคำว่า Thailand ออกเสียงว่า ไทย-แลนด์ คำอื่นๆที่เป็นอย่างนี้ได้แก่ Thomas (ทอม-มัส) ซึ่งเป็นชื่อผู้ชายกับ Thames (เทม-ส) แม่น้ำที่ไหลลงกลางเมืองลอนดอน นอกจากกลุ่มคำนี้แล้ว คำที่เหลืออยู่ที่สะกดด้วย TH คำนั้นห้ามออกเสียง TH ว่า ท หรือ T
เมื่อจะออกเสียง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ แลบลิ้นออกมา กัดลิ้นนิดๆ และก็ปล่อยใน VCD คำที่พูดถึงคำแรกคือคำว่า ขอบคุณ ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า thank you ตัวอักษร 2 ตัวแรกเป็น T-H  ดังนั้นต้องเอาลิ้นออกมานิดๆ เหมือนกบคำว่า thanks ที่แปลว่า ขอบคุณเหมือนกัน สำคัญมากที่จะต้องออกเสียงให้ชัด เพราะมีอีกคำหนึ่งในภาษาอังกฤษนั่นคือคำว่า tank ที่แปลว่า ถังทั้งหลาย เช่น I got the tanks, thanks. คำว่า thanks ออกเสียง TH ซึ่งไม่เหมือนกัน
คำว่า Three กับ Trees หมายเลข 3 จะมีเสียงแรกคือ TH ต่อด้วย r และก็ ee… th-r-ee… three ภาษาอังกฤษมีหลายคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงควบกล้ำนี้ วิธีออกเสียงก็คือ แลบลิ้นออกมาเพื่ออกเสียง TH อย่างถูกต้อง เสร็จแล้วรีบห่อริมฝีปากให้เล็กลงเพื่อออกเสียง R ต้นไม้คือ tree ไม่ต้องแลบลิ้นออกมาเวลาอกอกเสียง ต้นไม้ 3 ต้น ภาษาอังกฤษแปลว่า Three trees เช่น I drank tea beside three trees by the sea.ผมดื่มน้ำชาข้างๆต้นไม้ 3 ต้นที่ชายหาด นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆที่ออกเสียง THR ด้วย เช่น through ทะลุผ่าน, Thrust ผลัก, Throw ขว้าง, Thrash เฆี่ยน, Thread  ด้วย, Throne บัลลังก์, Thrive เจริญขึ้น เป็นต้น
ต่อไปจะเป็นการเรียนรู้ใบหน้าคำศัพท์ คือ ส่วนที่อยู่ด้านหน้าของคำศัพท์ เป็นต้น ช่วยบอกทิศทางของความหมาย บางตัวบอกแค่เป็นนัยๆว่าคำศัพท์นั้นน่าจะมีความหมายว่าอะไรแต่บางตัวก็บอกความหมายให้ชัดเจนเห็นกันอย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ต้องเดา หน้านี้มีไว้ส่าย un (อัน) แปลว่า ไม่ เมื่อเติม un ไปที่ส่วนหน้าของคำศัพท์ คำศัพท์เหล่านั้นก็จะถูกปรับเปลี่ยนความหมายไปในทางตรงกันข้ามคล้ายกับการปฏิเสธส่ายหน้าในทันที เช่น
Happy (แฮ็พพิ) มีความสุข พอใส่ un ไปข้างหน้าเป็น unhappy (อันแฮ็พพิ) ปุ๊บความสุขที่มีนั้นก็สูญหายกลายเป็นไม่มีความสุขหรือเศร้าหมอง equal (อี๊คว่อล) แปลว่า เท่าเทียมกันเติม un ไปข้างหน้าเป็นunequal (อันอี๊คว่อล) ความหมายก็เปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นไม่เท่าเทียมกัน clean (คลีน) มีความหมายว่าสะอาด เมื่อต้องการจจะบอกว่าไม่สะอาด ก็ให้ส่ายหน้าปฏิเสธคำศัพท์ด้วยการเติม un เข้าไปข้างหน้าเป็น unclean (อันคลีน) friendly (เฟรนลิ) ที่แปลว่า เพื่อนหรือมิตร หลังจากที่แปลรูปจาก friend มาเป็น friendly ซึ่งแปลว่า มีมิตรไมตรี แล้วเติมใบหน้า un ไปอีกทีจากมิตรภาพที่มีต่อกันอยู่ดีๆก็กลายเป็น unfriendly (อันเฟรนลิ) คือที่ไม่มีมิตรภาพต่อกันและกัน lucky (ลั้คคิ) มีความหมายว่า ที่โชคดี ที่มีโชค lock (ล็อค) เมื่อใช้เป็นคำกริยาแปลว่า ใส่กุญแจ แต่ unlock (อันล็อค) จะย้อนรอยหักล้างในทางปฏิเสธมีความหมายสวนทางเป็น ไขกุญแจที่ล็อคเอาไว้แล้วนั้นให้เปิดออกตัสนี้มีธรรมชาติคล้ายคลึงกับ do และ undo มากเพราะเป็นการแก้ไขหักล้างในสิงที่ได้ทำลงไปแล้วในขั้นตอนก่อนหน้า forgettable (ฟอเก็ทเทอเบิ่ล) แปลว่าที่สามารถลืมได้ ไม่ได้ประทับใจอะไรกับมันนัก มีที่มาจากคำศัพท์คำว่า forget ที่แปลว่า ลืม จาก forgettable ที่สามารถลืมได้ พอเติม un เข้าไป unforgettable (อันฟอเก็ทเทอเบิ่ล) ก็จะมีความหมายว่า ที่ประทับอยู่ในใจไม่อาจลืมได้หรือลืมไม่ลงนั่นเอง
ต่อไปจะเป็นการอ่านข่าวกีฬา ซึ่งเป็นข่าวอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องรู้คำศัพท์ของเขาโดยเฉพาะๆ กลุ่มคำที่ว่าด้วยการแข่งขัน มีดังนี้  คำแรก competition อ่านว่า คามเผอะทิเชิ่น คำนี้จะเกลื่อนกลาดอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน หมายถึง การแข่งขัน ถ้าจะบอกต่อว่าเป้นการแข่งขันอะไร ก็เอาคำๆนั้นไปเหยาะไว้ข้างหน้ามัน เช่น a crossword competition หรือ a fishing competition ก็คือ การแข่งขันตกปลา และการที่จะบอกว่าเข้าร่วมแข่งขันนั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า to enter หรือ to take part in a competition เช่น I will take part in the running competition. ฉันจะเข้าร่วมแข่งวิ่งด้วย คำที่สอง contest คำนี้อ่านออกเสียงว่า คานเท๊สท์ โดยเน้นไปที่ตัวแรก คำนี้ไปเน้นที่ความสามารถที่ไม่ต้องใช้พละกำลังมากมาย รวมทั้งความสวยงามในด้านอื่นๆ เช่น a beauty contest ก็คือ การแข่งขันประกวดนางงามทั้งหลาย การเข้าแข่งขันก็ใช้คำว่า enter การที่จะบอกว่า ส่งใครเข้าประกวดนั้น เขาใช้คำว่า to enter+ คนที่จะส่งเข้าประกวด แล้วก็ตามด้วย in/for a beauty contest หมายถึงเราตัดสินใจจะส่งเพื่อนเรา เข้าร่วมการแข่งขัน อีกหนึ่งคำหนึ่งคำที่ขาดไม่ได้คือ tournament คำนี้ออกเสียงว่า ทัวร์เนนอะเมิ่น โดยเน้นไปที่พยางค์แรก

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 10 ในห้องเรียน

Learning Log 10 ในห้องเรียน

ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าไวยากรณ์มีความสำคัญหลายประการหากเปรียบไวยากรณ์เป็นเหมือนกระดูกสันหลังที่เป็นพื้นฐานช่วยให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษประสบความสำเร็จในการเรียนทั้งทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียน โดยเฉพาะทักษะการเขียน ผู้เขียนจะต้องรู้จักเรียบเรียงประโยคให้เป็นข้อความที่สามารถสื่อสารและทำให้ผู้อ่านเข้าใจในแนวคิดของผู้เขียนซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดความคิดความรู้ของตนออกมาให้ผู้อ่านได้เข้าใจต้องอาศัยความรู้ความสามารถในด้านศัพท์ ไวยากรณ์ การสะกดคำ และเครื่องหมายวรรคตอน โดยเฉพาะความรู้ด้านไวยากรณ์มีความสำคัญมากและเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การเขียนมีความชัดเจนเพื่อที่จะสามารถสื่อสารความคิดกับผู้อ่านและผู้ฟังได้
การเขียนโครงสร้างทางไวยากรณ์ถ้าได้รับการสริมแรงจากทักษะการเขียนก็จะทำให้โครงสร้างทางไวยากรณ์มีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้น และผู้เรียนจะได้มีโอกาสนำเสนอโครงสร้างต่างๆที่ตนเรียนมาเรียบเรียงเป็นประโยคของตนเองทำให้เกิดความภูมิใจว่าตนเองก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ เช่น หลังจากการสอนเรื่อง Present Simple Tense แล้วครูผู้สอนก็สอนให้ผู้เรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับชีวิตกิจวัตรประจำวันของผู้เรียนก็จะเป็นการเสริมแรงให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับกริยาในรูปแบบปัจจุบันกาล ถ้าการเรียนการสอนเป็นไปตามนี้แล้วทักษะการเขียนจะเป็นธรรมชาติและมีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้นและจะไม่รูสึกหวาดกลัวหรือตื่นเต้นต่อการใช้ภาษาอังกฤษเพราะคำพูดที่ว่าผู้เรียนประสบปัญหาเพราะขาดความแม่นยำในเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์ก็จะค่อยๆหมดไป
ไวยากรณ์ในห้องเรียนสัปดาห์นี้จะกล่าวถึงเรื่อง Noun Clause ซึ่งมีรูปแบบประโยคมีภาคประธานและภาคแสดง มีลักษณะเหมือนประโยคย่อยที่ซ้อนอยู่ภายใน โดยใช้คำนำหน้าประโยคเพื่อเชื่อมต่อกับประโยคใจความหลัก ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนคำนามดังกล่าวเรียกว่า noun clause ซึ่งทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในประโยคโดยมีการใช้คำนำหน้าและสามารถลดรูปได้
Noun Clause แปลว่า นามานุประโยค หมายความว่า ประโยคนั้นทั้งประโยคถูกนำมาใช้เสมือนกับเป็นคำนามคำหนึ่ง และวิธีสังเกตว่า Clause ใดเป็น Noun Clause นั้นให้สังเกตได้ดังนี้คือ Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วย that ซึ่งแปลว่า ซึ่ง และ/หรือ Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วยคำที่แสดงคำนาม คือ How, which, what, where, when, why, who, whose, whom เช่น I don’t know how  
               
หน้าที่ของ Noun Clauses เมื่อนำมาใช้อย่างนาม เสมือนเป็นคำนามก็ย่อมทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับคำนามทั่วๆไปในทางไวยากรณ์นั่นคือ 1.เป็นประธานได้ (subject) ของกริยาได้ เช่น  a.  His statement is correct. b. What he said is correct. ในตัวอย่างข้างล่างประโยค a มีคำนามหรือกลุ่มคำนาม (noun phrase)  และประโยค มี  noun clause  ในตำแหน่งเดียวกันกับประโยค จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า What he said (สิ่งที่เขาพูด) ในประโยค b เป็นประโยคย่อย คือมีภาคประธาน he และภาคแสดง said โดยซ้อนอยู่ในประโยคอีกประโยคหนึ่งและทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคนั้นเทียบได้กับกลุ่มคำนาม His statement (คำพูดของเขา) ซึ่งเป็นประธานของประโยค a  2.เป็นกรรม (object) ของกริยาได้ เช่น I want to know where she live. ผมอยากรู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไหน(where she lives เป็นกรรมของกริยา know) He promised that he would pay back the debt. เขาให้สัญญา เขาจะใช้หนี้คืนให้ (that he would pay back the debt. เป็นกรรมของกริยา promised) 3.เป็นกรรม (object) ของบุรพบท (preposition) ได้ เช่น Wanna laughed at what you said. วรรณนาหัวเราะเยาะสิ่งที่คุณพูด (what you said เป็นกรรมของ at) She is waiting for what she want. หล่อนกำลังรอคอยสิ่งที่หล่อนต้องการ (what she want เป็นกรรมของ for) 4.เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา (complement) ของกริยาได้ เช่น It seems that It is possible ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ that It is possible เป็นส่วนสมบูรณ์ของคำกริยา seems) This is what you want. (What you want เป็นส่วนสมบูรณ์ของคำกริยา is ) 5. เป็นคำซ้อนของนามตัวอื่นได้ (appositive) เช่น His belief that coffee will keep him alert is incorrect.ความเชื่อของเขาที่ว่า กาแฟจะทำให้เขาตื่นอยู่เสมอนั้นไม่ถูกต้อง (that coffee will keep him alert เป็นคำซ้อนของ belief)
คำนำหน้า noun clause มีคำที่ใช้นำหน้าเพื่อเชื่อมกับ main clause คำที่ใช้นำหน้าดังกล่าว
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ 1. That นำหน้า noun clause ที่เป็นประโยคทั่วไปไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า
หรือประโยคปฏิเสธ ตัวอย่าง เช่น That he will come is certain.  (การที่เขาจะมาเป็นสิ่งแน่นอน) คำว่า that มีความหมายว่า “การที่” ในกรณีที่ noun clause เป็นประธานของคำกริยาใน main clause และ that มีความหมายว่าว่าในกรณีที่ noun clause เป็นกรรม อนึ่ง noun clause ที่นำหน้าด้วย that มีโครงสร้างของประโยคครบถ้วน การนำ that ไปวาง ข้างหน้า noun clause เป็นเพียงการเชื่อม noun clause กับ main clause
การละ That (omission of that) ในประโยค noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย that หรือนำหน้าประโยคด้วย that นั้นถ้าเป็นภาษาธรรมดา (Informal) โดยเฉพาะภาษาพูดแล้วเราจะละ that เสมอ เช่น  He says coffee grows in Brazil. (=He says coffee grows in Brazil.) เขาพูดว่า กาแฟปลูกในประเทศบราซิล I know he’ll return soon. (=I know he’ll return soon ผมรู้ว่าเขาจะกลับมาเร็วๆนี้) 2.Noun Clause ที่ทำหน้าที่ด้วย wh-words จะมีหน้าที่บางประการใน Noun clause ดังนี้ Who, Whoever, Whom, Whomever ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน Noun clause เช่น I want to know who he has chosen to marry. Whose คำนามที่ตามหลัง whose ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม กรรมตามบุพบทและส่วนเสริมประธานใน Noun clause เช่น I ask whose money was stolen. What, Whatever ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรมและส่วนเสริมประธานใน noun clause เช่น I want to know what her name is. Which, whichever มักมีคำนามตามหลัง โดยทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause เช่น I don’t know which brand is worth buying. Where, When, Why, How ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ในสถานที่ (Where, Wherever บอกสถานที่ เช่น Where he will stay has yet to be decided. When, whenever ใช้บอกเวลา เช่น you must find out when he is due to arrive at the airport. Why ใช้บอกสาเหตุหรือเหตุผล เช่น why he went to china was not known. How ใช้บอกกริยาอาการ เช่น Describe how you felt at the time.