วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning Log 4 ในห้องเรียน

Learning Log 4 ในห้องเรียน

เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเวลาเรียนภาษาอังกฤษ จึงต้อเรียนไวยากรณ์ควบคู่กันไปด้วย เพราะการที่จะให้ผู้เรียนสามารถพูดและอ่านภาษาอังกฤษ จึงต้องเรียนไวยากรณ์ควบคู่กันไปด้วยเพราะการที่จะให้ผู้เรียนพูดและฟังภาษาอังกฤษได้นั้นจะต้องให้ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องกฎเกณฑ์โครงสร้างของภาษาเสียก่อนจึงจะใช้ความรู้นั้นเพื่อประโยชน์ในการสื่อสารได้ แต่ในปัจจุบัน ความรู้ในโครงสร้างทางภาษาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดความสามารถในการสื่อสารได้ ทั้งนี้เพราะความสามารถในการสื่อสารนั้นรวมถึงความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้องและเหมาะสมด้วย ซึ่งการเข้าใจว่าผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ไวยากรณ์อีกต่อไป การเข้าใจเช่นนี้เป้นความเข้าใจที่ผิดเพราโครงสร้างทาไวยากรณ์มีส่วนทำให้สามารถใช้ภาษาได้อย่ามีประสิทธิภาพ การเรียนการสอนไวยากรณ์ของภาษาก็ยังมีความจำเป็นอยู่จากการเรียนรู้ในห้องเรียนโดยการศึกษาประโยค Simple sentences Compound sentences Complex sentences Compound - Complex sentences Adjective clause และศึกษาการทำ Adjective clause ให้เป็น Adjective phrase พบว่า
Sentence แปลว่าประโยคได้แก่กลุ่มคำหรือข้อความที่พูดออกไปแล้วได้ใจความสมบูรณ์ฟังกันรู้เรื่อง และส่วนมากประโยคจะประกอบไปด้วยส่วนใหญ่ 2 ส่วนคือ ภาคประธาน (Subject) และภาคแสดง (Predicate) เช่น He worked. My sister cleaned the table เป็นต้น ข้อความหรือกลุ่มคำทั้งหมดที่ยกแสดงขึ้นให้ดูนี้ถือได้ว่าเป็นประโยค (Sentence) ได้เพราะแต่ละข้อความทีพูดหรือเขียนออกไปแล้ว ผู้ฟังจะเข้าใจได้ทันที ประโยคอาจมีแต่คำกริยาคำเดียวก็ได้ ถ้าสามารถเข้าใจกันดีระหว่าผู้พูดและผู้ฟังโกยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคคำสั่งก็มักจะมีแต่คำกริยาเท่านั้น เช่น shoot, go, come on, look out เป็นต้น ประโยคในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ Simple sentences ประโยคใจความเดียว Compound sentences ประโยคใจความรวม Complex sentences ประโยคใจความซ้อน และ Compound - Complex sentences ประโยคใจความผสม ซึ่งแต่ละประโยคจะมีรายละเอียดดังต่อนี้
Simple sentence แปลว่า เอกัตถประโยค หมายถึง กลุ่มคำหรือข้อความที่พูดออกไปแล้วมีใจความเดียว พูดง่าย ก็คือ มีประธานตัวเดียวและกริยาตัวเดียว เช่น My son does his exercises every day.ลูกชายของผมทำแบบฝึกหัดทุกวัน นอกจากนี้ Simple sentence ยังแบ่งออกเป็นประโยคย่อยได้อีก 5 รูป ดังนี้คือ ประโยคบอกเล่า เช่น I live in Chiengmai. ผมอยู่เชียใหม่  ประโยคปฏิเสธ เช่น I don’t live in Bangkok. ผมไม่ได้อยู่กรุเทพฯ ประโยคคำถาม เช่น Were you born in Bangkok.คุณเกิดที่กรุงเทพฯหรือไม่ ประโยคขอร้อง เช่น Please open the window. กรุราเปิดหน้าต่างหน่อย และประโยคอุทาน เช่น There goes the bus! รถเมล์ไปที่นั่นแล้ว
Compound sentences แปลว่า อเนกัตถประโยค หมายถึง ประโยคที่มี simple sentence 2 ประโยคมารวมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้โดยเชื่อมด้วย coordinator (ตัวประสาน) เป็นแกนนำอันสำคัญ เช่น He is poor. เขายากจน He is honest.เขาซื่อสัตย์ เป็น Simple sentence He is poor ,but he is honest.เขายากจนแต่เขาซื่อสัตย์ ดังนั้นสิ่งที่เราทราบก็คือว่าตัวประสานที่มาเชื่อมต่อเพื่อให้เป็น Compound sentences ได้แก่ เครื่องหมายวรรคตอนที่นิยมใช้เชื่อม Simple sentence เพื่อให้เป็น Compound sentences มีดังต่อไปนี้คือ Semi-colon ; Colon : Dash – Comma ,
Complex sentences แปลว่า สังกรประโยค หรือประโยคที่มีเนื้อความซ้อน หมายถึงประโยคใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากประโยคเล็ก 2 ประโยคซึ่งใน 2 ประโยคนี้ใจความสำคัญไม่เท่ากัน นั่นคือ ประโยคหนึ่งเรียกว่า main clause (ประโยคหลัก) ส่วนอีกประโยคหนึ่งเรียกว่า subordinate clause (ประโยคอาศัย) เป็นประโยคที่ต้องการอาศัยประโยคหลักเสียก่อนแล้วจึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์หากแยกกันอย่านทีละประโยค ประโยค main clause จะอ่านได้เนื้อความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง ส่วนประโยค subordinate clause จะอ่านไม่ได้ความหมายเลย ตัวอย่างเช่น This is the house that Jack bought last year. นี่คือบ้านของแจ๊คที่ได้ซื้อเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว
ข้อความนี้แยกออกได้เป็น 2 ประโยคคือ This is the house เป็นประโยค main clause ส่วน that Jack bought last year เป็น subordinate clause จะเห็นได้ว่าเมื่อประโยคเล็ก (Simple sentence) 2 ประโยคมารวมอยู่ด้วยกัน จึงทำให้ประโยคที่กล่าวมานี้กลายเป็น Complex sentences ขึ้นมาทันที สิ่งที่เราควรคิดต่อไปก็คือว่า ประโยคเล็ก 2 ประโยค ที่มารวมกันแล้วกลายเป็น Complex sentences นั้นใช้อะไรเป็นคำเชื่อมระหว่างประโยค main clause กับ subordinate clause คือใช้คำเชื่อมหรือคำแฝง subordinate conjunction ได้แก่ if, as if, since, because, that, whether, lest, as, before, after, while, till, until, though, although, unless, so that, than, provide, in order that, etc. เช่น He is unhappy because he is very poor. เขาไม่มีความสุข เพราะว่าเขายากจนมาก ต่อไปคือการใช้ประพันสรรพนาม (Relative pronoun) เป็นคำเชื่อมได้แก่คำต่อไปนี้คือ who, whom, which ,that, whose, which, as, but, that of which, where, why, wherever, how
Compound - Complex sentences แปลว่า อเนกัตถสักรประโยค หมายถึงประโยคใหญ่ตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปมาอยู่รวมกันโดยที่ประโยคใหญ่ท่อนหนึ่งนั้นจะมีประโยคเล็กซ้อนอยู่ภายใน ลุกษณะข้อความเช่นนี้เราเรียกว่า Compound - Complex sentences เช่น I saw no one in the house which you had told me about, so I didn’t go in. ผมไม่เห็นใครอยู่ในบ้านซึ่งคุณได้บอกให้ผมทราบนั้นเลย ดังนั้นผมจึงไม่เข้าไปข้างใน (ประโยคที่ยกกล่าวให้ดูนี้มีประโยคใหญ่ๆ อยู่ 2 ประโยค คือ ประโยคแรก ได้แก่  I saw no one in the house which you had told me about และประโยคที่สอง so I didn’t go in ประโยคใหญ่ท่อนแรกมีประโยคเล็กซ้อนอยู่ภายใน คือ which you had told me about )
Adjective clause แปลว่า คุณานุประโยค หมายความว่า ประโยคนั้นทั้งประโยคไปทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือขยายคำเสมอนามได้เช่นเดียวกับ Adjective ธรรมดา แต่การขายาด้วย Adjective clause จะทำให้ข้อความนั้นหนักแน่นและเด่นชัดขึ้นมากกว่าการใช้ Adjective ธรรมดา ลักษณะของประโยค Adjective clause จะนำหน้าด้วยคำเชื่อมสัมพันธ์ (Relative pronoun) ได้แก่คำเหล่านี้ who, whom, which, that, whose, which, as, but, that of which, wherever, how อีกอย่างคือสัมพันธ์วิเศษ (Relative adverb) ได้แก่ when, where, why
การลดรูป Adjective clause ให้เป็น Adjective phrase ซึ่ง Adjective clause ที่มีประธาน เช่น  that,  which, who สามารถย่อรูปให้เป็นวลีได้สองวิธีคือ 1. ตัด Relative pronoun ออกไป 2.เปลี่ยนกริยาที่อยู่ติดกับ Relative pronoun ให้เป็น V-ing ในกรณีที่คำนามนั้นทำกริยาได้ หรือเปลี่ยนเป็น V3 ถ้าคำนามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ
จากกรณีศึกษาประโยค Simple sentences, Compound sentences, Complex sentences Compound - Complex sentences, Adjective clause และศึกษาการทำ Adjective clause ให้เป็น Adjective phrase ทำให้เราได้รู้ความหมายและลักษณะของประโยคแต่ละประโยคว่ามีดารเพิ่มหรือลดรูปอย่างไร นอกจากนี้ยังเป็นการทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปแล้วด้วย จะเห็นได้ว่าไวยากรณ์มีความสำคัญในการเรียนถ้าเรามีความชำนาญในกฎเกณฑ์ไวยากรณ์เราก็สามารถนำความรู้ที่มีไปบูรณาการความรู้ในด้านทักษะการพูดต่อไปได้
 

 

1 ความคิดเห็น:

  1. I really liked reading all the articles published on your website. All the credits to the author of the post. Your article is really looked nice and great because in this way we can learn a lot of new things .The information you shared on Compound Sentences was useful.Thank you for taking the time to organize it.

    ตอบลบ