วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 11 นอกห้องเรียน

Learning Log 11 นอกห้องเรียน

การเรียนภาษาอังกฤษจากบทเพลงนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนที่เรียนภาษามาก เพราะภาษานั้นต้องการการฝึกฝน และการที่เราจะฝึกฝนภาษาให้ได้ดีนั้น จะต้องได้ยินได้ฟังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นบทภาพยนตร์หรือเพลงล้วนทำให้เรารู้สึกว่าภาษาอยู่กับเราตลอดเวลา เพราะในบทภาพยนตร์หรือบทเพลงนั้นนอกจากเราจะได้ฝึกเสียงสำเนียงของเจ้าของภาษาแล้วเรายังได้ในส่วนที่เป็นสำนวน หรือ ประโยคฮิตที่ได้จากการฟัง ซึ่งบทเพลงที่ฉันได้ฟังนั้นจะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องรักๆใคร่ๆสุขๆและโศกเศร้าปะปนกันไป เห็นไหมว่าการฟังเพลงนอกจากจะทำให้เราผ่อนคลายแล้วยังทำให้เราได้รู้ความหมายของบทเพลงนั้นด้วย ซึ่งบทเพลงที่ฉันได้ฟังในสัปดาห์นี้มีหลายเพลง ตัวอย่างเช่น
เพลงแรกคือ How Am I Supposed to Live Without You จากชื่อเพลง ก็คงจะปวดร้าวแล้วใครที่มีความรักและกำลังจะถูกทำร้ายก็ต้องฟูมฟายเป็นธรรมดา ในเนื้อเพลงประโยคแรก I could hardly believe it. ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลย เวลาที่เจอคำว่า hardly ซึ่งใช้แสดงความกี่ความบ่อย ให้วางไว้ระหว่างกริยาช่วยและกริยาแท้ เช่น I can hardly think that… ฉันแทบจะไม่คิดเลยว่า… When I heard the news today. เมื่อฉันได้รู้ข่าวนั้นในวันนี้ I had to come and get it straight from someone = ได้รู้ความจริงจากปากของคนนั้น They said you were leaven เขาบอกว่าเธอกำลังจะจากฉันไป Someone swept you heart away มีคนรักใหม่เอาใจเธอไปแล้วสำนวน to sweep one’s hear away = เอาใจคนใดคนหนึ่งไป From the look upon your face I see it’s true . มองจากสีหน้าของเธอฉันรู้ว่านี่คือเรื่องจริง สำนวน From the look upon one’s face = จากสิ่งที่เห็นบนใบหน้าใครคนใดคนหนึ่ง So tell me all about it, tell me about the plans you’re making ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังที บอกฉันหน่อยว่าเธอเตรียมการอะไรอยู่ Then tell me one thing more before I go บอกฉันหน่อยนะก่อนที่ฉันจะจากไป Tell me how am I supposed to live without you บอกฉันหน่อยซิว่า จะให้ฉันอยู่โดยไม่มีเธอได้อย่างไร Now that I’ve been loving you so long เพราะฉันรักเธอมานานมากแล้ว สำนวน to have been + กริยา ing ก็หมายถึง ทำสิ่งนั้นมานานแล้ว และก็ยังคงทำสิ่งนั้นต่อไปอีก How am I supposed to carry on ฉันจะเดินต่อไปได้อย่างไร สำนวน to carry on = ดำเนินต่อไป When all that I’ve been living for is gone ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นได้จากไปแล้ว สำนวน to live for = อยู่เพื่อคนใดหรือสิ่งใด To be gone = จบลงสิ้นสุดลง I didn’t come here for crying ฉันไม่ได้มาเพื่อจะร้องไห้คร่ำครวญ Didn’t come here to breakdown ฉันไม่ได้มาเพื่อจะทำให้แตกหัก It’s just a dream of mine is coming to an end เป็นเพียงความฝันหนึ่งขอฉันที่กำลังจะจบลง สำนวน to come to an end = จบลงสิ้นสุดลง And how can blame you และฉันจะขอโทษเธอได้อย่างไร When I built my world around เมื่อฉันสร้างโลกในแบบนี้เอง The hope that someday we’d be so much more friends ความหวังที่ว่า วันหนึ่งเราจะเป็นได้มากกว่าเพื่อน สำนวน to be more than friend = มากกว่าเพื่อน And I don’t  wanna know to price I’am gonna pay for dreaming. และฉันไม่อยากจะรู้หรอกว่า ฉันต้องสูญเสียอะไรบ้างเพื่อที่จะฝัน สำนวน to pay a price for something = เสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง เช่น You have to pay the price for success. คุณต้องสูญเสียบางอย่างสำหรับความสำเร็จที่ได้มา At what price should I pay to get her back? ฉันต้องสูญเสียอะไรบ้างเพื่อที่ให้ได้เธอกลับมา When even now it’s more than I can take เมื่อมันกลับมากเกินกว่าที่ฉันจะรับได้ สำนวน It’s more than I can take = มันมากกว่าที่ฉันจะรับได้ And I don’t wanna face the price I’m gonna pay for dreaming และฉันไม่อยากประสบกับสิ่งที่ฉันต้องสูญเสียอีกเพื่อที่จะฝัน Now that your dream has come true เพราะความฝันของเธอนั้นเป็นจริงแล้ว คำว่า Now that = เนื่องจากหรือเพราะว่า
เพลงที่สองคือ How can you mend a broken heart? เพลงนี้เขาพูดถึงการเสียอกเสียใจที่เกิดจากความรักว่า รักนี้จะหวนคืนมาได้อย่างไร และคนเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรหากไร้ซึ่งความรักเพราะหากต้องอยู่อย่างไม่มีความรักไว้หล่อเลี้ยงหัวใจอยู่ต่อไปชีวิตมันจะเหี่ยวเฉาลงไปทุกที เนื้อเพลในประโยคแปลได้ว่า I think of younger days when living for my life. ฉันคิดถึงวันเก่าๆ ที่ฉันมีชีวิตเพื่อตัวฉันเอง สำนวน to thik of + younger day  = วันคืนเก่าๆ สำนวน to live for myself = มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง สำนวนนี้ ดัดแปลงได้ว่า to live for yourself = ก็คือมีชีวิตอยู่เพื่อคุณ หรืออาจจะบอกว่า You should a man could want to do. ฉันทำทุกอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำได้ I could never see tomorrow, but I was never told about the sorrow. ฉันไม่มีวันจะเห็นวันพรุ่งนี้อีกแล้ว แต่ก็จะไม่มีใครมาบอกฉันในเรื่องความโศกเศร้านั้นอีก สำนวนนี้เศร้ามากเพราะคนไหนที่มองไม่เห็นอนาคตแล้ว ก็เหมือนคนที่ไม่มีความหวัง จะอยู่ไปทำไม ซึ่งประโยคนี้น่าเห็นใจ เพราะคำว่า never see tomorrow ไม่มีวันเห็นอนาคตอีกแล้ว และสำนวน to be never told about + สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หมายถึง ไม่มีวันได้รับการบอกถึงสิ่งนั้น And how can you mend a broken heart? เธอจะช่วยทำให้ถามใจได้อย่างไร สำนวน to mend a broken heart = ถามใจ คำว่า to mend นั้นสามารถใช้ว่า to fix หรือ to repair ก็ได้ How can you stop the rain from  falling down? เธอจะห้ามฝนไม่ให้ตกได้อย่างไร ประโยคนี้ เขาใช้โครงสร้าง to stop + สิ่งใดหรือใคร + from + กริยา + ing ก็คือ ห้ามไม่ให้สิ่งใดหรือคนใดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง How can you stop the sun from shining? เธอจะหยุดพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้อย่างไร What make the world go round? อะไรหรือที่ทำให้โลกใบนี้ขับเคลื่อนต่อไปได้ สำนวน to make the world go round = ทำให้ โลกนั้นหมุนไป How can you mend this broken man? เธอจะดามหัวใจของชายคนนี้ได้อย่างไร How can a loser ever win? คนที่แพ้จะมีวันชนะไหม Please help me mend my broken heart and let me live again. ช่วยดามใจฉันทีและทำให้ฉันมีชีวิตรักอีกครั้งเถอะ สำนวนที่น่าเห็นใจก็คือ let me live again = ได้โปรดช่วยให้ฉันมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถอะ I can still feel the breeze that rustles thought the trees ฉันสามารถรู้สึกถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านเหล่าพฤกษา And misty memories do days gone by และความทรงจำที่เลือนลางทำให้วันเวลามันผ่านไป สำนวน to rustles thought the trees ให้นึกถึงภาพตอนที่ลมพัดผ่านต้นไม้(คิดดูเอาเองว่ามันจะมีความสุขขนาดไหน) เพราะตอนที่ลมมันไม่พัดนั้นมันโคตรจะร้อนเลย รักที่ไม่สมหวังก็เหมือนกับอากาศในยามนั้นและความทรงจำที่ลางเลือน misty memories มันเบลอไปหมดแล้ว สำนวน misty memories do days gone by = ความทรงจำที่ลางเลือนนั้นทำให้วันเวลามันผ่านไป we could never see tomorrow, no one said a word about the sorrow. เราจะไม่มีวันพบเจอวันพรุ่งนี้ ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับความเสียใจเลย
เพลงสุดท้ายคือ Holiday ในเนื้อเพลงกล่าวว่าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่กันตามลำพัง เพราะการได้อยู่กับคนที่รักนั้นก็คือความสุขเหมือนกับเราทำงานใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นมันจำเจ ต้องหาอะไรที่มันแปลกแตกต่างออกไปบ้าง เนื้อหาในบทเพลงแปลได้ดังนี้ Let me take you far away ขอให้ฉันพาเธอไปไกลแสนไกล สำนวน Let me + do อะไร ก็คือ ขอให้ฉันทำอะไร เช่น Let me help you. ขอให้ฉันได้ช่วยคุณนะ You’d like a holiday เธอต้องพักใจแล้วละ Exchange the cold days for the sun ไปหาแสงแดดอันอบอุ่นแทนที่วันอันหนาวเหน็บ cold days = ในเวลาที่มีปัญหา A good time and fun ไปหาความสนุกสนานกันเถอะ สำนวน A good time and fun = ช่วงเวลาแห่ความสุขและความสนุก Exchange your trouble for some love ไปเติมความรักแทนความทุกข์ใจ สำนวน to exchange + สิ่งใด + for + สิ่งใด ก็หมายถึง แลกเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง ในที่นี้คือ แลกเอาความทุกข์ใจเพื่อความรักสักเล็กน้อย Wherever you are ไม่ว่าเธอจะอยู่หนใด Let me take you for away ขอให้ฉันพาเธอเถอะ You’d like a holiday เธอต้องการเวลาพักใจ Longing for the sun you will come ถวิลหาพระอาทิตย์เธอจะมา To the island without name ยังเกาะนิรนามกันเถอะ Longing for the sun  be welcome ถวิลหาพระอาทิตย์สาดส่องให้ความอบอุ่น On the island many miles away from home บนเกาะที่อยู่ห่างจากบ้านไกลแสนไกล คำว่า island นั้นจะไม่ออกเสียง s จะอ่านว่า อายล์แลนด์ และสำนวน many miles away from home = หลายไมล์ที่ห่างจากบ้าน Be welcome on the island without name ยินดีต้อนรับสู่เกาะนิรนามนี้ Longing for the sun you will come อยากให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง เธอจะมาอยู่กับฉัน สำนวน Longing for มาจากคำกริยา  to long for หมายถึง ปารถนา ต้องการอย่างมาก to the island many miles away from home มาอยุ่เกาะนี้ที่ไกลแสนไกลจากบ้าน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น