วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log 8 ในห้องเรียน

Learning Log 8 ในห้องเรียน

ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าไวยากรณ์มีความสำคัญหลายประการ หากเปรียบไวยากรณ์เป็นเหมือนกระดุกสันหลังที่เป็นพื้นฐานช่วยให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษประสบความสำเร็จในการเรียนทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน โดยเฉพาะทักษะการเขียน ผู้เขียนจะต้องรู้จักเรียบเรียงประโยคให้เป็นข้อความที่สามารถสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านเข้าใจในแนวคิดของผู้เขียน ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดความคิด ความรู้ของตนออกมาให้ผู้อ่านได้เข้าใจต้องอาศัยความรู้ความสามารถในด้านศัพท์ ไวยากรณ์ การสะกดคำ และเครื่องหมายวรรคตอน โดยเฉพาะความรู้ด้านไวยากรณ์เป็นสิ่งสำคัญมากและเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การเขียนมีความชัดเจนขึ้น เพื่อที่จะสามารถสื่อสารความคิดกับผู้อ่านและผู้ฟังได้
การเขียนโครงสร้างไวยากรณ์นั้น ถ้าได้รับการเสริมแรงจากทักษะการเขียนก็จะทำให้โครงสร้างไวยากรณ์มีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้น และผู้เรียนจะได้มีโอกาสนำโครงสร้างต่างๆที่ตนเรียนมาเรียบเรียงเป็นประโยคของตนเอง ทำให้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองก็สามารถใช้ภาอังกฤษได้ เช่น หลังจากการสอนเรื่อง Present Simple Tense แล้วครูผู้สอนก็ให้ผู้เรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้เรียนก็จะเป็นการเสริมแรให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับกริยาในรูปปัจจุบันกาลถ้าการเรียนการสอนเป็นไปตามนี้และทักษะการเขียนจะเป็นไปตามธรรมชาติและมีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้นและจะไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นเต้นต่อการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะถ้าพูดที่ว่าผู้เรียนประสบปัญหาเพราะขาดความแม่นยำในเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์ก็จะค่อยๆหมดไป
ไวยากรณ์ในห้องเรียนสัปดาห์นี้จะกล่าวถึงเรื่อง Noun Clause ซึ่งมีรูปประโยคมีประธานและภาคแสดง มีลักษณะเหมือนประโยคย่อย ที่ซ้อนอยู่ภายใน โดยใช้คำนำหน้าประโยคย่อยนี้เพื่อเชื่อมต่อกับประโยคใจความหลัก ทำหน้าที่เหมือนคำนามสามารถลดรูปได้และมีการใช้คำนำหน้า เราจึงควรเรียนรู้เพื่อให้สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
Noun Clause แปลว่า นามานุประโยค หมายความว่าประโยคนั้นทั้งประโยคถูกจำมาใช้เสมือนกับเป็นคำนามคำหนึ่ง และวิธีสังเกตว่า Clause ใด เป็น Noun Clause นั้นให้สังเกตได้ดังนี้คือ Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วย that ซึ่งแปลว่า ซึ่ง และ/หรือ Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วยคำที่แสดงคำนาม คือ how, which, what, where, when, why, who, whose, whom เช่น I don’t know how he did it. ผมไม่รู้ว่าเขาทำมันได้อย่างไร What you want is in the bag. สิ่งที่คุณต้องการอยู่ในถุงนี้แล้ว He said that he know you. เขาพูดว่า เขารู้จักคุณ ประโยคที่ขีดเส้นใต้นั้นเป็น Noun Clause ทั้งหมด
หน้าที่ของ Noun Clause เมื่อนำมาใช้อย่างนาม หรือเสมือนเป็นคำนาม ก็ย่อมทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับคำนามทั่วๆไปในทางไวยากรณ์นั่นคือ 1. เป็นประธาน (Subject) ของกริยาได้ เช่น a.  His statement is correct. b. What he said is correct. จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า What he said (สิ่งที่เขาพูด) ใน   ประโยค b เป็นประโยคย่อย คือมีภาคประธาน he และภาคแสดง said โดยซ้อนอยู่ในประโยคอีกประโยคหนึ่งและทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคนั้น เทียบได้กับกลุ่มคำนาม His statement (คำพูดของเขา) ซึ่งเป็นประธานของประโยค a  2.เป็นกรรม (Object) ของกริยาได้ เช่น I want to know where she lives. ผมอยากรู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไหน (where she lives เป็นกรรมของกริยา know)  He promised that he would pay back the debt. เขาให้สัญญาว่าเขาจะใช้หนี้คืนให้ (that he would pay back the debt เป็นกรรมของกริยา promised) 3.เป็นกรรม (Object) ของบุพบท (Prepositions) ได้ เช่น Wanna laughed at what you said. วรรณาหัวเราะเยาะสิ่งที่คุณพูด (what you said เป็นกรรมของ at )  She is waiting for what she want. หล่อนกำลังรอคอยสิ่งที่หล่อนต้องการ (what she want เป็นกรรมของ for) 4. เป็นส่วนสมบูรณ์ ( Complement) ของกริยาได้ เช่น It seems that it is possible. ดูเหมือนว่า มันเป็นไปไม่ได้ (that it is possible เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา seems) This is what you want. นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ ( what you want เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา is) 5. เป็นคำซ้อนของนามตัวอื่นได้ (Appositive) เช่น His belief that coffee will keep him alert is incorrect. ความเชื่อของเขาที่ว่า กาแฟจะทำให้เขาตื่นอยู่เสมอนั้นไม่ถูกต้อง (that coffee will keep him alert เป็นคำซ้อนของ  belief )
คำนำหน้า Noun Clause มีคำที่ใช้นำหน้าเพื่อเชื่อมกับ main clause คำที่ใช้นำหน้าดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1. that นำหน้า Noun clause ที่เป็นประโยคทั่วไปไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่าหรือ ประโยคปฏิเสธ เช่น That he will come is certain.  การที่เขาจะมาเป็นสิ่งแน่นอน คำว่า  that มีความหมายว่า  “การที่”  ในกรณีที่ noun clause เป็นประธานของคำกริยาใน main clause และ that มีความหมายว่า ว่าในกรณีที่ noun clause เป็นกรรม  ดังในตัวอย่างข้างต้น อนึ่ง noun clause  ที่นำหน้าด้วย that  มีโครงสร้างของประโยคครบถ้วน การนำ that ไปวาง ข้างหน้า noun clause  เป็นเพียงการเชื่อม noun clause  กับ main clause
การละ that (commission of that) ในประโยค Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย that นั้นถ้าเป็นภาษาธรรมดา (Informal) โดยเฉพาะภาษาพูดแล้วเราจะละ that เสมอ เช่น He says coffee grows in Brazil. (=He says that coffee grows in Brazil. ) เขาพูดว่ากาแฟปลูกในประเทศบราซิล I know he'll return soon.(=I know that he'll return soon.) ผมรู้ว่าเขาจะกลับมาเร็วๆนี้
2. Noun Clause ที่นำหน้าด้วย Wh-words จะมีหน้าที่บางประการใน Noun Clause ดังนี้ who,whoever, whom,whomever ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน Noun Clause เช่น I want to know who he has chosen to marry. Whose คำนามที่ตามหลัง whose ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม กรรมตามหลังบุพบท และส่วนเสริมประธาน ใน noun clause เช่น I asked whose money was stolen. What, whatever ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรมและส่วนเสริมประธานใน noun clause เช่น I want to know what her name is. Which, whichever มักมีคำนามตามหลังโดยทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause เช่น I don’t know which brand is worth buying. Where, When, Why, How ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใน Noun clause โดย where, wherever ใช้บอกสถานที่ เช่น Where he will stay has yet to be decided. ส่วนWhen, whenever  ใช้บอกเวลา เช่น You must find out when he is due to arrive at the airport.  Why ใช้บอกสาเหตุหรือเหตุผล เช่น Why he went to China was not known.  How  ใช้บอกกิริยาอาการ เช่น Describe how you felt at that time.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น