Learning Log 7 ในห้องเรียน
การเรียนการสอนของภาษาล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถใช้ภาษาที่เรียนในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นที่ใช้ภาษานั้นได้
ซึ่งในการเรียนการสอนภาษา เชื่อว่า การที่จะให้ผู้เรียนมีความสารถในการฟัง พูด
อ่าน เขียน และสื่อสารได้
จำเป็นต้องให้ผุ้เรียนมีความรู้ในเรื่องกฎเกณฑ์โครงสร้างของภาษา เพราะถ้าผู้เขียนมีความรู้เรื่องโครงสร้างทางภาษาแล้วสามารถใช้ความรู้นั้นเพื่อประโยชน์ในการสื่อสารได้
แต่ในปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าความรู้ในโครงสร้างภาษาแต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถก่อให้เกิดความสามารถในการสื่อสารได้ทั้งนี้เพราะความสามารถในการสื่อสารนั้นรวมถึงความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้องและเหมาะสมเมื่อการสอนเน้นไปในด้านการใช้ภาษาจึงทำให้มีผู้เข้าใจว่าผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ไวยากรณ์ของภาษาอีกต่อไปซึ่งความเข้าใจเช่นนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะโครงสร้างทางไวยากรณ์นั้นมีส่วนทำให้สามารถใช้ภาษได้อย่างมีประสิทธิภาพการเรียนการสอนไวยากรณ์จึงมีความจำเป็น
ในสัปดาห์นี้เราได้เรียนรู้ในห้องเรียนเรื่อง If-Clause ซึ่งมี 3 ประเภท
Conditional Sentence หรือเรียกอีกอย่างว่า
If-Clause คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (Condition) หรือแสดงการสมมุติ หรือการคาดการณ์ว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแล้วก็จะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นตามมา
ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย Conjunction ‘if’ ประโยคนำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า If-clause
และประโยคที่แสดงผลของเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า Main-Clause เช่น If it rains, I shall stay at home.
(ประโยคแรกนำหน้าด้วย if เป็นประโยค if-clause ส่วนประโยคหลังแสดงผลของเงื่อนไขแรก เป็น Main-Clause) Conditional Sentence แบ่งออกเป็น 3 ประโยคใหญ่ๆคือ
Present Real, Past Unreal, Present Unreal ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
แบบแรก Present Real เป็นการสมมุติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต
แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (probable condition)
หมายความว่าถ้ามีการกระทำหรืออเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว
เหตุการณ์เช่นนั้นก็จะเกอดขึ้นตามหลังมาทันที มีโครงสร้างคือ If + Present
simple + Future Simple เช่น If he goes to London, he will
meet his old friend. If it rains, I will not go shopping.
แบบที่สอง Present Unreal เป็นการสมมุติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย
(doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (improbable
condition)
หมายถึงเงื่อนไขที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่อาจเป็นไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เป็นเรื่องที่ผู้พูดสมมุติหรือตั้งเงื่อนไขลมๆแล้งๆขึ้นมา เช่น พูดว่า ‘ถ้าฉันเป็นนกฉันจะบินได้’ หรือ ‘ถ้าฉันมีตาทิพย์ ฉันจะบอกเลขท้าย 2 ตัวให้เธอทุกงวด’
ทำนองนี้ เราเรียกว่า เป็นเงื่อนไขหรือการสมมุติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
โครงสร้างคือ If+ Present Simple+ V1 เช่น If I had
enough money, I would marry my girlfriend, but right now ,I am very poor. If
today were Sunday, We would be at home.
แบบที่สาม Past Unreal เป็นการสมมุติ
แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลยและตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
การสมมุติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและผู้พูดก็ทราบดีว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร
แต่ผู้พูดก็นำมาพุดสมมุติเสียใหม่คือ
สมมุติให้ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เช่น ข้อความว่า ‘ถ้าคุณไม่ได้ฆ่าน้องชายเขา คุณก็คงไม่ติดคุก’ ซึ่งความจริงที่เกิดขึ้นคือ
คุณได้ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นคุณจึงต้องติคุก ลักษณะเหตุการณ์ดังกล่าว
ซึ่งความจริงที่เกิดขึ้น คือคุณได้ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นคุณจึงต้องติดคุก
ลักษณะเหตุการณ์ดังกล่าว เรียกว่า การสมมุติหรือเงื่อนไข ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
มีโครงสร้าง คือ If+ Past Perfect+ would+ Present
Perfect (-ed) เช่น If I had known of
your arrival, I should have met you. (but I didn’t know,
so I didn’t meet you.) ใน Conditional Sentence จะขึ้นต้นด้วยประโยค If-Clause
จะเห็นได้ว่าการศึกษาโครงสร้างของไวยากรณ์มีความสำคัญ
ซึ่งมีส่วนช่วยในการเป็นฐานความรู้เพื่อใช่ต่อยอดการพูดภาษาอังกฤษต่อไปได้ ซึ่งการศึกษาโครงสร้างทางไวยากรณ์ในบางเรื่องอาจมีความซับซ้อน
แต่ถ้าหากเราตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจ มันก็ไม่มีอะไรยากสำหรับเราเลย
การเรียนเรื่อง If- Clause ในวันนี้ทำให้เรามีความรู้และเข้าใจในโครงสร้างของ
If-clause ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง และหมายถึงอะไร นอกจากนี้ยังได้ทำความเข้าใจกับประโยค
If-Clause แต่ละแบบ
ทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่าควรใช้รูปแบบประโยคแบบไหนและต้องใช่ในสถานการณ์ใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น