Learning Log 8 นอกห้องเรียน
ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากล
นับว่าเป็นภาษาอีกภาษาหนึ่งที่คนไทยเป็นจำนวนมากคุ้นเคย
ในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่มีโอกาส
สัมผัสกับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจากสื่อต่างๆเช่น จากตำรา หนังสือพิมพ์ วิทยุ
โทรทัศน์ เป็นต้น และนับแต่อนุบาลจนกระทั่งจบการศึกษาคนไทยรู้จักภาษาอังกฤษอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า
10 ปี ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีทีเดียว
แต่ในปัจจุบันพบว่านักเรียนไทยส่วนใหญ่ยังมีข้อบกพร่องในการใช้ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการออกเสียงอาจเป็นเพราะได้เรียนรู้แต่กฎเกณฑ์ด้านไวยากรณ์และการเพิ่มพูนคำศัพท์แต่ไม่ได้รับการฝึกฝนการออกเสียงงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องซึ่งการสื่อความหมายด้วยภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้นไม่ควรละเลยทักษะด้านการออกเสียงเพราะมันมีส่วนช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เสียงในภาษาอังกฤษหลายเสียงไม่มีในภาษาไทย
จึงทำให้เกิดปัญหาสำหรับคนไทยเมื่อต้องออกเสียงนั้นๆ เช่น สียง /v/ ในคำ van ส่วนใหญ่คนไทยก็จะออกเสียงที่สะกดด้วยตัว
ว ในภาษาไทยซึ่งไม่ถูกต้อง หรือแม้ว่าเสียงในภาษาอังกฤษบางเสียงจะมีในภาษาไทยแต่ตำแหน่งที่สียงนั้นปรากฏในคำก็จะต่างกัน
เช่นเสียง /f/ ในภาษาอังกฤษเป็นได้ทั้งเสียง พยัญชนะต้น fan
แล้เสียงพยัญชนะท้าย safe แต่ในภาษาไทยเสียงพยัญชนะที่สะกดด้วยตัวอักษร
ฟ หรือ ฝ จะไม่ปรากฏในตำแหน่งท้ายคำ หรือเป็นเสียงพยัญชนะท้ายคนไทยส่วนใหญ่จึงออกเสียงพยัญชนะท้ายของคำ
safe ไม่ถูกต้อง กล่าวคือจะออกสียงพยัญชนะท้ายเหมือนกับสะกดด้วย
พ หรือ บ เป็นต้น
นอกจากนี้คนไทยบางคนก็ไม่ค่อยจะเข้มงวดกับการออกเสียงที่สะกดด้วย
ร และ ล ถ้าหากจะมีคนพูดว่า “ลูกของฉันถูกเพื่อนลังแก
เลยไม่ชอบไปโลงเลียน” แม้ว่าจะไม่ถูกต้องในแง่ของการออกเสียงตัว
ร ในคำ รังแกและโลงเลียน แต่เรายังเข้าใจความหมายของประโยคนี้ เพราะในภาษาไทย
ถึงจะมีคำ ลังและโลงแต่ก็ไม่มีคำ ลังแกและโลงเลียน แต่ในภาษาอังกฤษ ถ้าเราออกเสียง
/l/ และ /r/ สับสนกัน เป็นว่า ออกเสียง
/r/ เป็นเสียง /l/ แทนจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายของประโยคผิดไป
เช่นถ้าผู้พูดต้องการพูดประโยค“Jane’s answer war wrong” แต่ไปพูดว่า
“Jane’s answer was long” แทนที่ผู้ฟังจะเข้าใจว่า “คำตอบของเจนผิด” กลับไปเข้าใจว่า “คำตอบของเจนยาว” ดังนี้เป็นต้น ซึ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่มักประสบเมื่อพูดภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้การฟัง
ยังเป็นการเรียนรู้ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะ1นาที หรือ เป็นชั่วโมง การฝึกฟังที่ดีที่สุด คือการฟังข่าวภาษาอังกฤษ
ซึ่งช่องทางการฟังมีหลายรูปแบบ เช่น ดูข่าวผ่านทีวี ,CNN,BBC หรือช่องทางอื่นๆหรือฟังข่าวออนไลน์ผ่านมือถือ
การฟังข่าวนั้นนอกจากจะได้สำเนียงของเจ้าของภาษาแล้วยังได้ตำศัพท์ (Vocabulary) รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษ และการแปล (Translation)
อีกด้วยซึ่งในวันนี้เราจะพูดถึงการเรียนรู้ศัพท์จากข่าว
เป็นการให้เราได้ฝึกค้นหาความหมายของศัพท์ที่ใช้บ่อยๆในการรายงานข่าว
เพื่อให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งที่ใช้กันโดยทั่วไปและใช้ในสาขาต่างๆเพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการอ่านและการแปลข่าวต่อไปได้
ซึ่งตัวอย่างที่สืบค้นหาจะมีความหมาย ชนิดของคำ และการใช้คำศัพท์ในสถานการณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น
คำแรก abuse
(n, v) หมายถึงใช้ในทางที่ผิด
การงดการกระทำที่เสื่อมเสียในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในลักษณะใด เช่น power abuse การใช้อำนาจในทางที่ผิด
child abuse การกระทารุณเด็กด้วยการทำให้ทำงานหนักหรือการกักขังเฆี่ยนตีหรือด้วยการกระทำชำเราเด็ก
drug abuse การใช้ยาที่ผิดวัตถุประสงค์เพื่อเจตนาที่ไม่ดีหรือการใช้ยาเป็นสารเสพติดนั่นเอง
เมื่อใช้ทำหน้าที่คำกริยา (V.) จะแปลว่า ใช้ไปในทางที่ผิด
เช่น She abuse my friendship.เธออาศัยมิตรภาพที่ฉันมีให้เธอเพื่ออหลอกใช้ฉัน
คำที่สอง activist
(n.) หมายถึงนักเคลื่อนไว มักใช้กับผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมือง
(political activist) เพื่อเรียกร้องสิ่งที่ต้องการหรือต่อต้านสิ่งที่ไม่เห็นด้วยซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นอาจเป็นการเดินขบวน
(demonstration) หรือการอดอาหารประท้วง (hunger strike) เช่น Activist marched through to protest construction of the
fourth nuclear plant.
คำที่สาม autonomy
มาจากรากศัพท์ภาษากรีก auto แปลว่า ตัวเอง,ตนเอง และ nomos ซึ่งแปลว่า กฎหมาย
มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า self-rule โดยปกติจะใช้กับดินแดนซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอื่นและต่อมาได้รับอิสรภาพคืน
เช่นในกรณีที่อิสราเอลได้ยินยอมให้ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซ่า (Gaza Strip) และเมือง Jericho ใน West Bank มีสิทธิในการปกครองตนเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่อิสราเอลได้ยึดปกครองดินแดนเหล่านี้มาเกือบ
27 ปี (Autonomy comes to Gaza Strip at last.)
คำที่สี่ bill
(n.) หมายถึงร่างกฎหมายที่สมาชิกรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอความเห็นชอบและประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้วนายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าถวาย
เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงปรมาภิไทยหลังจากได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกขา (The
royal Gazette) แล้วร่างพระราชบัญญัติจะแปลสภาพเป็นพระราชบัญญัติ (act) และมีผลบังคับใช้ให้เป็นกฎหมาย (statute)
คำที่ห้า คือ blanket
(n) รวม,อเนกประสงค์
โดยปกติแล้วจะแปลว่าผ้าห่ม แต่เมื่อขยายคำนามจะหมายความว่า รวม เช่น a
blanket insurance policy จะแปลว่ากรมธรรม์คุ้มครองรวมซึ่งผู้ประกันชำระเงินประกันจำนวนเดียว
แต่จะได้รับการคุ้มครองรวมหลายรายการในกรณีนี้ให้ blanket support ดับผู้ใดผู้หนึ่งนั้นจะหมายถึงการให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยไม่พิจารณาเดิมควรว่าเหมาะหรือไม่
เช่น Coalition MPs cannot blindly give blanket support to ministers
facing a no confidence motion.
นอกจากนี้ การออกสียงในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่สำคัญมากถ้าหากเราออกเสียงผิดก็อาจทำให้การแปลความหมายนั้นผิดไปด้วย
วันนี้เรามี 10 คำ ที่คนไทยออกเสียงผิดมากที่สุด (Asian Vegetables) มานำเสนอควบคู่กับ VCD ที่แนบมาในหนังสือ คำแรก Suite
เวลาคุณไปพักโรงแรมคุณต้องการห้องหรูหราที่สุด คุณจะขอห้องสูตใช่ไหม
ภาษาไทยอาจเรียกว่า สูต แต่ภาษาอังกฤษไม่เรียกอย่างนั้น ห้องชุดแบบนี้เรียกว่า Snite
เหมือนคำว่า Sweet ออกเสียงเหมือนกัน
ส่วนห้องสูตนั้น ฝรั่งจะนึกถึง Suit หรือเสื้อสูต
คำที่สอง Excuse me ขอโทษครับ/คะ
จะพูว่าอย่างไรลองนึกถึงตัว xป ตามมาด้วย q และก็ smee ตอนท้ายหรือ x+ q+ smee นี่แหละคือวิธีออกเสียง Excuse me คำที่สาม Asia
ทวีปนี้ออกเสียงอย่างไร ภาษาไทยออกเสียงว่า เอเชีย
แต่ฝรั่งออกเสียงไม่เหมือนกัน คำที่สี่ Juice น้ำผลไม้
เรียกว่าอย่างไรใครๆที่ตอบ จู-อีส เตรียมแพ๊คกระเป๋ากลับบ้าน เพราะที่ถูกคือ จูส
หรือ จิว-ส คำที่ห้า six ห้ามออกเสียงว่า sick เพราะว่า sick หมายถึง ป่วยไม่สบาย หมายเลข 6
อ่านว่า six โดยมีเสียง s ในตอนท้าย
คำที่หก
Electricity
ไฟฟ้า ไมใช่ electric-city ที่ถูกคือ Electricity หรือ อิ- เล็ก- ทริส- สิ- ที่ เป็นคำ adjective คือ
electric หรือ อิ-เล็ค-ทริค คำที่เจ็ด busy ยุ่งไหมถ้ายุงก็บอกว่า I am busy คำนี้ออกเสียงว่า
บิ-ซี่ แต่จริงๆแล้วตัว s ออกเสียงเป็น z busy เช่นเดียวกับ business ที่แปลว่าธุรกิจ business พยางค์ที่สองแทบจะหายไป คำที่แปด
Island คำนี้สะกดด้วย s แต่ไม่ออกเสียง
เราจะพูดว่า ไอ- ลึน-ด ส่วน Iceland ก็เป็นประเทศหนาวๆประเทศหนึ่งในยุโรป
ดังนั้นการออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ชัด จึงเป็นปัญหาให้กับเราโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะการสื่อสารที่นอกจากผู้อื่นจะไมเข้าใจที่เราพูดแล้วยังทำให้เรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ๆได้เสมอ
เพราะแปลความหมายที่ฟังมาผิด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาจากคนฟัง
แต่เป็นคนพูดต่างหากที่พูดเพี้ยนไป
ซึ่งเรามีวิธีแก้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือการอ่านคำศัพท์ควบคู่ไปกับการเปิดฟังคำศัพท์และฝึกออกเสียงทุกๆวันอย่างน้อยวันละครั้งก็จะช่วยให้เราสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องกว่าเก่าปัญหาเรื่องแปลความหมายผิดก็จะลดลงจนในที่สุดก็ไม่ผิดเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น